คลังเล็งปรับใหม่เกณฑ์มูลค่าบ้านและที่ดิน ที่เข้าข่ายเสียภาษีจากยกเว้นให้รายที่มีมูลค่าไม่เกิน 1 ล้าน ลดลงเหลือ 5 แสนบาท หวั่นมีกลุ่มได้รับยกเว้นให้อยู่นอกระบบจำนวนมาก ส่วนเกษตรกรรายย่อยยังได้รับสิทธิเหมือนเดิม เชื่อ กม.ใหม่ทำให้หลบเลี่ยงยาก เหตุกำหนดชัดเจนไม่เสียภาษีห้ามซื้อขายโอนเปลี่ยนมือ ส่วนกองทุนธนาคารที่ดินเกิดยาก เหตุไม่มีกลไกรองรับที่ชัดเจน
แหล่งข่าวจากกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า จากการหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับพ.ร.บ.ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง พ.ศ. ... และภาคเอกชนถึงขั้นรายละเอียดปลีกย่อยที่ยังเป็นประเด็นปัญหาหรือมีความเห็นไม่ตรงกันนั้น ล่าสุดยังไม่ได้ข้อสรุปแต่อย่างใด คาดว่าจะนัดประชุมกันอีกครั้งเพื่อหาข้อสรุปภายในเดือน ก.ย.นี้
อย่างไรก็ตาม ในหลักการเบื้องต้นของกฎหมายภาษีที่ดินนั้น ทุกฝ่ายเห็นตรงกันว่าจะเป็นต้องมีและขอให้ผลักดัน พ.ร.บ.ออกมาบังคับใช้ก่อน ส่วนของรายละเอียดปลีกย่อยนั้นสามารถกำหนดในบทเฉพาะกาลได้ในภายหลัง ซึ่งจากการหารือหลายครั้งอาจต้องมีการปรับเปลี่ยนข้อกำหนดการยกเว้นภาษีให้กับประชาชนบางกลุ่มที่ไม่เคยเสียภาษี โดยเฉพาะกรณีบ้านที่อยู่อาศัยและเกษตรกรรายย่อย โดยบ้านที่อยู่อาศัยนั้นเดิมเบื้องต้นจะยกเว้นให้หากราคารวมที่ดินและสิ่งปลุกสร้างมีราคาประเมินไม่เกิน 1 ล้านบาท แต่หากยึดราคาดังกล่าวอาจทำให้มีกลุ่มที่หลุดจากระบบภาษีจำนวนมากโดยเฉพาะในต่างจังหวัด จึงอาจลดลงมาเหลือเพียง 5 แสนบาทเท่านั้น
“ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างไม่ใช่ภาษีเงินได้ที่จะมีการยกเว้นหรือขอลดหย่อนได้ ทุกคนควรมีส่วนร่วมในการเสียภาษีให้ท้องถิ่นเพื่อนำไปพัฒนาท้องถิ่นๆ นั้น และผู้เสียก็จะได้รับประโยชน์จากเงินที่เสียไป ผู้ที่ได้รับยกเว้นจึงควรเป็นกลุ่มคนจนจริงๆ และกลุ่มปานกลางค่อนไปทางจนและเกษตรกรรายย่อยเท่านั้น อีกทั้งราคาบ้าน 1 ล้านบาทนั้นในต่างจังหวัดน่าจะมีจำนวนมากและไม่ถือว่าเป็นคนยากจน จึงควรจะเสียภาษีด้วยซึ่งก็เป็นเงินไม่มากนัก โดยการประเมินราคาบ้านและที่ดินก็ยึดตามแบบบ้านที่มี 61 แบบของกรมธนารักษ์ ไม่รวมการตกแต่งภายใน” แหล่งข่าวกล่าว
อย่างไรก็ตาม ในส่วนของสินทรัพย์ที่เป็นทรัพย์สินรอการขาย (เอ็นพีเอ) ของสถาบันการเงินหรือที่อยู่กับบริษัทบริหารสินทรัพย์ กรุงเทพพาณิชย์ จำกัด (บสก.) นั้น เป็นรายละเอียดปลีกย่อยที่อาจต้องกำหนดไว้ท้ายกฎหมายหรือบทเฉพาะกาลในการยกเว้นแต่อาจมระยะเวลาที่ชัดเจน เช่น 5 ปี ตามระยะเวลาการถือครอง ส่วนกรณีของภาคเอกชนหรือแลนด์ลอร์ดที่มีที่ดินครอบครองจำนวนมากนั้น ส่วนใหญ่เริ่มให้ความสำคัญกับการวางแผนและหาแนวทางการใช้ประโยชน์จากที่ดินแล้วเช่นการนำไปหารายได้ จากค่าเช่า ทำที่จอดรถ บริหารทำตลาดนัดหรือนำไปทำการเกษตรระหว่างที่รอขายที่ดินหรือพัฒนาทำอย่างอื่นเพื่อหลีกเลี่ยงการเสียภาษีในอัตราสูงสุด 0.5% กรณีปล่อยรกร้างว่างเปล่าและต้องเสียเพิ่ม 2 เท่า ทุกๆ 3 ปี
แหล่งข่าวกล่าวว่า แม้รัฐบาลจะสนับสนุนร่างกฎหมายดังกล่าว แต่การผลักดันให้เข้าสภาและมีผลบังคับใช้นั้นยังไม่แน่จ่าจะเป็นไปตามเป้าหมายหรือไม่ เพราะขึ้นอยู่กับหลายปัจจัยรวมทั้งปัจจัยการเมืองที่อาจเปลี่ยนแปลงไป ทางกระทรวงการคลังจึงอยากให้ร่างกฎหมายออกมาก่อนและเห็นว่าอัตราภาษีที่กำหนดมีความเหมาะสมแล้วเพราะมาจากสมมติฐานที่อยู่บนความเป็นจริงที่คนรวยควรเสียภาษีมากกว่าคนจนจึงไม่ทำให้ประชาชนทั่วๆ ไปมีภาระภาษีมากนัก และยังจะอำนวยความสะดวกในการเสียภาษีโดยการจ่ายทางไปรษณีย์ได้ด้วย กรณีที่เจ้าของที่ดินย้ายไปอยู่ต่างถิ่น เนื่องจากที่ผ่านมาพบว่าภาษีบำรุงท้องถิ่นนั้นมีการรั่วไปอย่างมาก และเจ้าหน้าที่เองก็ไม่ได้เข้มงวดในการติดตามให้มาจ่ายภาษี
ส่วนภาษีโรงเรือนนั้นยอมรับว่าส่วนใหญ่จะหลบเลี่ยงและไม่จ่ายตามความเป็นจริงเพราะมีอัตราภาษีสูง หากต่อไปเปลี่ยนมาใช้ภาษีทีดินและสิ่งปลูกสร้างจะทำให้มีการหลบเลี่ยงหรือจ่ายภาษีเท็จน้อยลง เพราะในกฎหมายจะกำหนดเป็นหน้าที่หากไม่มีใบเสร็จจ่ายภาษีมาแสดงจะไม่สามารถซื้อขายตอนเปลี่ยนมือที่ดินหรือทรัพย์สินนั้นๆ ได้ โดยหากที่ผ่านมาไม่เคยเสียจะต้องเสียย้อนหลังไป 10 ปี รับภาระกันคนละครึ่งระหว่างผู้ซื้อกับผู้ขาย
สำหรับประเด็นการจัดตั้งกองทุนธนาคารที่ดินที่มีผู้เสนอให้จัดสรรเงินจากภาษีมาจัดตั้ง 2% เตรียมไว้ซื้อที่ดินที่จะมีผู้ปล่อยออกมาในตลาดและนำไปจัดสรรให้เช่าหรือขายให้ประชาชนผู้มีรายได้น้อยนั้น ตามหลักการคงไม่สามารถดำเนินการได้เพราะจะขัดกับหลักการกระจายอำนาจและกระจายเงินให้ท้องถิ่น เพราะเหมือนการดึงเงินกลับเข้าสู่ส่วนกลาง แนวทางที่เป็นไปได้จึงอาจให้ท้องถิ่นนั้นๆตั้งกองทุนขึ้นเองเพื่อบริการจัดการภายในท้องถิ่น ซึ่งมองว่าคงไม่จำเป็นต้องจัดตั้งขึ้นทุกท้องถิ่น ขึ้นอยู่กับปริมาณที่ดินที่จะถูกปล่อยขายออกมากกว่าอีกทั้งยังไม่มีกลไกลรองรับที่ชัดเจนเหมือนในต่างประเทศ
แหล่งข่าวจากกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า จากการหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับพ.ร.บ.ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง พ.ศ. ... และภาคเอกชนถึงขั้นรายละเอียดปลีกย่อยที่ยังเป็นประเด็นปัญหาหรือมีความเห็นไม่ตรงกันนั้น ล่าสุดยังไม่ได้ข้อสรุปแต่อย่างใด คาดว่าจะนัดประชุมกันอีกครั้งเพื่อหาข้อสรุปภายในเดือน ก.ย.นี้
อย่างไรก็ตาม ในหลักการเบื้องต้นของกฎหมายภาษีที่ดินนั้น ทุกฝ่ายเห็นตรงกันว่าจะเป็นต้องมีและขอให้ผลักดัน พ.ร.บ.ออกมาบังคับใช้ก่อน ส่วนของรายละเอียดปลีกย่อยนั้นสามารถกำหนดในบทเฉพาะกาลได้ในภายหลัง ซึ่งจากการหารือหลายครั้งอาจต้องมีการปรับเปลี่ยนข้อกำหนดการยกเว้นภาษีให้กับประชาชนบางกลุ่มที่ไม่เคยเสียภาษี โดยเฉพาะกรณีบ้านที่อยู่อาศัยและเกษตรกรรายย่อย โดยบ้านที่อยู่อาศัยนั้นเดิมเบื้องต้นจะยกเว้นให้หากราคารวมที่ดินและสิ่งปลุกสร้างมีราคาประเมินไม่เกิน 1 ล้านบาท แต่หากยึดราคาดังกล่าวอาจทำให้มีกลุ่มที่หลุดจากระบบภาษีจำนวนมากโดยเฉพาะในต่างจังหวัด จึงอาจลดลงมาเหลือเพียง 5 แสนบาทเท่านั้น
“ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างไม่ใช่ภาษีเงินได้ที่จะมีการยกเว้นหรือขอลดหย่อนได้ ทุกคนควรมีส่วนร่วมในการเสียภาษีให้ท้องถิ่นเพื่อนำไปพัฒนาท้องถิ่นๆ นั้น และผู้เสียก็จะได้รับประโยชน์จากเงินที่เสียไป ผู้ที่ได้รับยกเว้นจึงควรเป็นกลุ่มคนจนจริงๆ และกลุ่มปานกลางค่อนไปทางจนและเกษตรกรรายย่อยเท่านั้น อีกทั้งราคาบ้าน 1 ล้านบาทนั้นในต่างจังหวัดน่าจะมีจำนวนมากและไม่ถือว่าเป็นคนยากจน จึงควรจะเสียภาษีด้วยซึ่งก็เป็นเงินไม่มากนัก โดยการประเมินราคาบ้านและที่ดินก็ยึดตามแบบบ้านที่มี 61 แบบของกรมธนารักษ์ ไม่รวมการตกแต่งภายใน” แหล่งข่าวกล่าว
อย่างไรก็ตาม ในส่วนของสินทรัพย์ที่เป็นทรัพย์สินรอการขาย (เอ็นพีเอ) ของสถาบันการเงินหรือที่อยู่กับบริษัทบริหารสินทรัพย์ กรุงเทพพาณิชย์ จำกัด (บสก.) นั้น เป็นรายละเอียดปลีกย่อยที่อาจต้องกำหนดไว้ท้ายกฎหมายหรือบทเฉพาะกาลในการยกเว้นแต่อาจมระยะเวลาที่ชัดเจน เช่น 5 ปี ตามระยะเวลาการถือครอง ส่วนกรณีของภาคเอกชนหรือแลนด์ลอร์ดที่มีที่ดินครอบครองจำนวนมากนั้น ส่วนใหญ่เริ่มให้ความสำคัญกับการวางแผนและหาแนวทางการใช้ประโยชน์จากที่ดินแล้วเช่นการนำไปหารายได้ จากค่าเช่า ทำที่จอดรถ บริหารทำตลาดนัดหรือนำไปทำการเกษตรระหว่างที่รอขายที่ดินหรือพัฒนาทำอย่างอื่นเพื่อหลีกเลี่ยงการเสียภาษีในอัตราสูงสุด 0.5% กรณีปล่อยรกร้างว่างเปล่าและต้องเสียเพิ่ม 2 เท่า ทุกๆ 3 ปี
แหล่งข่าวกล่าวว่า แม้รัฐบาลจะสนับสนุนร่างกฎหมายดังกล่าว แต่การผลักดันให้เข้าสภาและมีผลบังคับใช้นั้นยังไม่แน่จ่าจะเป็นไปตามเป้าหมายหรือไม่ เพราะขึ้นอยู่กับหลายปัจจัยรวมทั้งปัจจัยการเมืองที่อาจเปลี่ยนแปลงไป ทางกระทรวงการคลังจึงอยากให้ร่างกฎหมายออกมาก่อนและเห็นว่าอัตราภาษีที่กำหนดมีความเหมาะสมแล้วเพราะมาจากสมมติฐานที่อยู่บนความเป็นจริงที่คนรวยควรเสียภาษีมากกว่าคนจนจึงไม่ทำให้ประชาชนทั่วๆ ไปมีภาระภาษีมากนัก และยังจะอำนวยความสะดวกในการเสียภาษีโดยการจ่ายทางไปรษณีย์ได้ด้วย กรณีที่เจ้าของที่ดินย้ายไปอยู่ต่างถิ่น เนื่องจากที่ผ่านมาพบว่าภาษีบำรุงท้องถิ่นนั้นมีการรั่วไปอย่างมาก และเจ้าหน้าที่เองก็ไม่ได้เข้มงวดในการติดตามให้มาจ่ายภาษี
ส่วนภาษีโรงเรือนนั้นยอมรับว่าส่วนใหญ่จะหลบเลี่ยงและไม่จ่ายตามความเป็นจริงเพราะมีอัตราภาษีสูง หากต่อไปเปลี่ยนมาใช้ภาษีทีดินและสิ่งปลูกสร้างจะทำให้มีการหลบเลี่ยงหรือจ่ายภาษีเท็จน้อยลง เพราะในกฎหมายจะกำหนดเป็นหน้าที่หากไม่มีใบเสร็จจ่ายภาษีมาแสดงจะไม่สามารถซื้อขายตอนเปลี่ยนมือที่ดินหรือทรัพย์สินนั้นๆ ได้ โดยหากที่ผ่านมาไม่เคยเสียจะต้องเสียย้อนหลังไป 10 ปี รับภาระกันคนละครึ่งระหว่างผู้ซื้อกับผู้ขาย
สำหรับประเด็นการจัดตั้งกองทุนธนาคารที่ดินที่มีผู้เสนอให้จัดสรรเงินจากภาษีมาจัดตั้ง 2% เตรียมไว้ซื้อที่ดินที่จะมีผู้ปล่อยออกมาในตลาดและนำไปจัดสรรให้เช่าหรือขายให้ประชาชนผู้มีรายได้น้อยนั้น ตามหลักการคงไม่สามารถดำเนินการได้เพราะจะขัดกับหลักการกระจายอำนาจและกระจายเงินให้ท้องถิ่น เพราะเหมือนการดึงเงินกลับเข้าสู่ส่วนกลาง แนวทางที่เป็นไปได้จึงอาจให้ท้องถิ่นนั้นๆตั้งกองทุนขึ้นเองเพื่อบริการจัดการภายในท้องถิ่น ซึ่งมองว่าคงไม่จำเป็นต้องจัดตั้งขึ้นทุกท้องถิ่น ขึ้นอยู่กับปริมาณที่ดินที่จะถูกปล่อยขายออกมากกว่าอีกทั้งยังไม่มีกลไกลรองรับที่ชัดเจนเหมือนในต่างประเทศ
