เมื่อวานนี้ (5 ก.ค.) นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี กล่าวในรายการ “เชื่อมั่นประเทศไทยกับนายกฯอภิสิทธิ์” ว่า ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ได้มีการติดตามการแก้ไขปัญหาสำคัญของประชาชน คือเรื่องที่ทำกิน ซึ่งปัญหานี้เกี่ยวข้องกับหลายหน่วยงาน ไม่ว่าจะเป็นที่ของราชพัสดุ ส.ป.ก. ป่าไม้ อุทยาน หรือว่าที่ที่ใช้เพื่อประโยชน์ในทางสาธารณะ ซึ่งขณะนี้มีความคืบหน้าไปพอสมควร
ทั้งนี้ หลักสำคัญคือ เรา กำลังจะดำเนินการในเรื่องของการที่จะทำเรื่องโฉนดชุมชน การแก้ปัญหาที่ทำกิน ในอดีตมีข้อจำกัดอยู่อย่างหนึ่งคือ พอแก้ที่ปัญหาที่ทำกินไปแล้ว และออกเอกสารสิทธิ์ ให้กรรมสิทธิ์ไปในลักษณะให้กับบุคคล หรือเอกชนไปแล้ว ต่อมาที่ดินก็จะเปลี่ยนมือ และในที่สุดคนที่ยากลำบาก คนยากคนจน ก็ไม่มีที่ทำกินอีก
แต่ว่าแนวคิดเรื่องของโฉนดชุมชนนั้น เราจะสามารถให้กรรมสิทธิ์กับทางชุมชน ให้กับภาคประชาชน ที่จะบริหารจัดการ เพื่อดูแลว่าที่สุดแล้วประชาชนที่ยากจน โดยเฉพาะเกษตรกร สามารถที่จะใช้ที่ตรงนั้นสมกับเจตนารมณ์ที่มีการแก้ไขปัญหา
อย่างไรก็ตาม ในการประชุมกันล่าสุด ก็ตั้งใจว่าหลังจากที่มีการพูดคุยแลกเปลี่ยนกันอีกประมาณสัก 1 เดือน เดือนสิงหาคม นั้นจะมีการเริ่มต้นกำหนดเป็นระเบียบออกมา เพื่อแก้ปัญหาที่ทำกินในหลายพื้นที่ ในลักษณะของโฉนดชุมชนได้พร้อมๆ กันไปกระทรวงการคลัง ก็ยังเดินหน้าในการที่จะทำเรื่องของการจัดเก็บภาษีที่ดิน หรือภาษีทรัพย์สิน ซึ่งจะมีส่วนสำคัญในการกระจายการถือครองที่ดินด้วย และมีความคิดเพิ่มเติมเข้ามาว่า ภาษีในส่วนนี้จะมีการกันเงินส่วนหนึ่งมาทำเป็นกองทุนธนาคารที่ดิน เพื่อที่จะช่วยแก้ปัญหาของประชาชนที่ไม่มีที่ทำกินต่อไป
" เราจะเดินหน้าทำเรื่องนี้ต่อไป พร้อมๆ กับเรื่องหนี้สิน และปัญหาในเรื่องของการที่จะดูแลในเรื่องของรายได้ของเกษตรกรในการแทรกแซงในเรื่องของพืชผลการเกษตร ซึ่งจะทำอย่างเป็นระบบให้ครบวงจรให้ได้ในรัฐบาลนี้"
**ทบทวนคดีกรมอุทยานฯฟ้องปชช.
นายสาทิตย์ วงษ์หนองเตย รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า นายกฯได้มอบหมายให้นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รมว.ยุติธรรม เป็นประธานอนุกรรมการฯไปดูชุดการแก้ปัญหาคดีที่รัฐโดยเฉพาะที่กรมอุทยาน สัตว์ป่า และพันธุ์พืช กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ฟ้องร้องประชาชน ทั้งคดีแพ่งและอาญา ซึ่งบางรายถูกฟ้องร้อง 2-3 ล้านบาท
ส่วนการจัดทำ “โฉนดชุมชน” เพื่อแก้ปัญหาที่ทำกินในอดีต นายกฯได้มอบหมายให้ตนลงพื้นที่ตรวจสอบใน 30 พื้นที่ โดยให้ไปดูพื้นที่จ.ลำพูน และจ.เชียงใหม่ ที่เกิดปัญหา หลังจากที่ได้ลงพื้นที่เขาบรรทัด และภาคใต้ ซึ่งเชื่อว่า จะสามารถจัดทำระเบียบได้ในเดือน ส.ค.52 หลังจากที่จะทำการประชุมเชิงปฏิบัติการปลายเดือน ก.ค.นี้
ส่วนการเสนอตั้งธนาคารที่ดิน-เก็บภาษีที่ดินที่ไม่ได้ใช้ประโยชน์ หลังพบการกระจุกตัวในการถือครองที่ดินโดยคนบางกลุ่ม ขณะที่เกษตรกรส่วนใหญ่ไม่มีที่ทำกินเป็นของตัวเอง นายกฯ มอบหมายให้กระทรวงการคลัง เป็นอนุกรรมการฯ เดินหน้าพร้อมกับระเบียบการจัดเก็บภาษีที่ดิน ให้เป็น “กองทุนธนาคารที่ดิน” เพื่อเป็นการกระจายอำนาจ และให้อนุกรรมการฯไปทำระเบียบการจัดเก็บภาษีที่ดินก้าวหน้า และแบ่งรายได้ภาษีร้อยละ 2 ให้กองทุนธนาคารที่ดิน
**นายกฯสอบเองปัญหาสปก.สุราษฎร์ฯ
ส่วนการแก้ปัญหาการฟ้องร้องให้ออกจากที่ดิน สปก. ที่จ.สุราษฎร์ธานี นายกรัฐมนตรีจะนั่งเป็นประธานอนุกรรมการฯ เอง ร่วมกับนายสาทิตย์ และนายสุวิทย์ คุณกิตติ รมว.ทรัพยากรฯ เพื่อดูปัญหาเรื่องการดำเนินการขับไล่ประชาชนออกจากพื้นที่ เนื่องจากเป็นพื้นที่อุทยานฯ หลังจากที่ประชาชนเข้าไปอาศัยอยู่ในพื้นที่รับผิดชอบของสำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม หรือส.ป.ก. ในท้องที่อ.ชัยบุรี จ.สุราษฎร์ธานี ต่อเนื่องกับท้องที่ อ.เขาพนม จ.กระบี่ ซึ่งมีการใช้ความรุนแรงในการขับไล่
**ไปบุรีรัมย์ ดูปัญหาป่าสงวนดงใหญ่
นายสาทิตย์ กล่าวด้วยว่า นายกฯ จะหารือกับผู้ว่าราชการจังหวัดบุรีรัมย์ คาดว่าในช่วงการลงพื้นที่ เพื่อหารือถึงปัญหาที่เครือข่ายปฏิรูปที่ดินภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ร้องเรียนเรื่องถูกขับไล่ออกจากพื้นที่เช่าป่าสงวนดงใหญ่ โดยเครื่อข่ายฯได้คัดค้านมติสภา อบต.ลำนางรอง อ.โนนดินแดง จ.บุรีรัมย์ ที่มีมติให้บริษัทเอกชน และชาวบ้านเข้าไปเช่าพื้นที่ ป่าสงวนดงใหญ่ จากพื้นที่ป่า จำนวน 9 แปลง กว่า 23,700 ไร่
โดยภาคประชาชน เห็นว่ามติ อบต. ไม่โปร่งใส เนื่องจากที่ผ่านมาอบต. มีการประชุมเห็นชอบมติหลายแบบ จนก่อให้เกิดความสงสัย พร้อมทั้งขอให้รัฐบาล ชะลอการเช่าพื้นที่ป่าของบริษัทเอกชนไว้ก่อน เพราะการจัดสรรดังกล่าว ทางบริษัทสามารถดำเนินการเช่าพื้นที่ป่าได้มากถึง 16,000 ไร่ แต่ ประชาชนได้เข้าไปเช่าทำกินเพียง 6,000-7,000 ไร่ เท่านั้น ไม่เป็นไปตามเงื่อนไขที่จะให้ดำเนินการเช่าฝ่ายละ 50% ตามที่ได้สัญญาไว้
ทั้งนี้ หลักสำคัญคือ เรา กำลังจะดำเนินการในเรื่องของการที่จะทำเรื่องโฉนดชุมชน การแก้ปัญหาที่ทำกิน ในอดีตมีข้อจำกัดอยู่อย่างหนึ่งคือ พอแก้ที่ปัญหาที่ทำกินไปแล้ว และออกเอกสารสิทธิ์ ให้กรรมสิทธิ์ไปในลักษณะให้กับบุคคล หรือเอกชนไปแล้ว ต่อมาที่ดินก็จะเปลี่ยนมือ และในที่สุดคนที่ยากลำบาก คนยากคนจน ก็ไม่มีที่ทำกินอีก
แต่ว่าแนวคิดเรื่องของโฉนดชุมชนนั้น เราจะสามารถให้กรรมสิทธิ์กับทางชุมชน ให้กับภาคประชาชน ที่จะบริหารจัดการ เพื่อดูแลว่าที่สุดแล้วประชาชนที่ยากจน โดยเฉพาะเกษตรกร สามารถที่จะใช้ที่ตรงนั้นสมกับเจตนารมณ์ที่มีการแก้ไขปัญหา
อย่างไรก็ตาม ในการประชุมกันล่าสุด ก็ตั้งใจว่าหลังจากที่มีการพูดคุยแลกเปลี่ยนกันอีกประมาณสัก 1 เดือน เดือนสิงหาคม นั้นจะมีการเริ่มต้นกำหนดเป็นระเบียบออกมา เพื่อแก้ปัญหาที่ทำกินในหลายพื้นที่ ในลักษณะของโฉนดชุมชนได้พร้อมๆ กันไปกระทรวงการคลัง ก็ยังเดินหน้าในการที่จะทำเรื่องของการจัดเก็บภาษีที่ดิน หรือภาษีทรัพย์สิน ซึ่งจะมีส่วนสำคัญในการกระจายการถือครองที่ดินด้วย และมีความคิดเพิ่มเติมเข้ามาว่า ภาษีในส่วนนี้จะมีการกันเงินส่วนหนึ่งมาทำเป็นกองทุนธนาคารที่ดิน เพื่อที่จะช่วยแก้ปัญหาของประชาชนที่ไม่มีที่ทำกินต่อไป
" เราจะเดินหน้าทำเรื่องนี้ต่อไป พร้อมๆ กับเรื่องหนี้สิน และปัญหาในเรื่องของการที่จะดูแลในเรื่องของรายได้ของเกษตรกรในการแทรกแซงในเรื่องของพืชผลการเกษตร ซึ่งจะทำอย่างเป็นระบบให้ครบวงจรให้ได้ในรัฐบาลนี้"
**ทบทวนคดีกรมอุทยานฯฟ้องปชช.
นายสาทิตย์ วงษ์หนองเตย รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า นายกฯได้มอบหมายให้นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รมว.ยุติธรรม เป็นประธานอนุกรรมการฯไปดูชุดการแก้ปัญหาคดีที่รัฐโดยเฉพาะที่กรมอุทยาน สัตว์ป่า และพันธุ์พืช กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ฟ้องร้องประชาชน ทั้งคดีแพ่งและอาญา ซึ่งบางรายถูกฟ้องร้อง 2-3 ล้านบาท
ส่วนการจัดทำ “โฉนดชุมชน” เพื่อแก้ปัญหาที่ทำกินในอดีต นายกฯได้มอบหมายให้ตนลงพื้นที่ตรวจสอบใน 30 พื้นที่ โดยให้ไปดูพื้นที่จ.ลำพูน และจ.เชียงใหม่ ที่เกิดปัญหา หลังจากที่ได้ลงพื้นที่เขาบรรทัด และภาคใต้ ซึ่งเชื่อว่า จะสามารถจัดทำระเบียบได้ในเดือน ส.ค.52 หลังจากที่จะทำการประชุมเชิงปฏิบัติการปลายเดือน ก.ค.นี้
ส่วนการเสนอตั้งธนาคารที่ดิน-เก็บภาษีที่ดินที่ไม่ได้ใช้ประโยชน์ หลังพบการกระจุกตัวในการถือครองที่ดินโดยคนบางกลุ่ม ขณะที่เกษตรกรส่วนใหญ่ไม่มีที่ทำกินเป็นของตัวเอง นายกฯ มอบหมายให้กระทรวงการคลัง เป็นอนุกรรมการฯ เดินหน้าพร้อมกับระเบียบการจัดเก็บภาษีที่ดิน ให้เป็น “กองทุนธนาคารที่ดิน” เพื่อเป็นการกระจายอำนาจ และให้อนุกรรมการฯไปทำระเบียบการจัดเก็บภาษีที่ดินก้าวหน้า และแบ่งรายได้ภาษีร้อยละ 2 ให้กองทุนธนาคารที่ดิน
**นายกฯสอบเองปัญหาสปก.สุราษฎร์ฯ
ส่วนการแก้ปัญหาการฟ้องร้องให้ออกจากที่ดิน สปก. ที่จ.สุราษฎร์ธานี นายกรัฐมนตรีจะนั่งเป็นประธานอนุกรรมการฯ เอง ร่วมกับนายสาทิตย์ และนายสุวิทย์ คุณกิตติ รมว.ทรัพยากรฯ เพื่อดูปัญหาเรื่องการดำเนินการขับไล่ประชาชนออกจากพื้นที่ เนื่องจากเป็นพื้นที่อุทยานฯ หลังจากที่ประชาชนเข้าไปอาศัยอยู่ในพื้นที่รับผิดชอบของสำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม หรือส.ป.ก. ในท้องที่อ.ชัยบุรี จ.สุราษฎร์ธานี ต่อเนื่องกับท้องที่ อ.เขาพนม จ.กระบี่ ซึ่งมีการใช้ความรุนแรงในการขับไล่
**ไปบุรีรัมย์ ดูปัญหาป่าสงวนดงใหญ่
นายสาทิตย์ กล่าวด้วยว่า นายกฯ จะหารือกับผู้ว่าราชการจังหวัดบุรีรัมย์ คาดว่าในช่วงการลงพื้นที่ เพื่อหารือถึงปัญหาที่เครือข่ายปฏิรูปที่ดินภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ร้องเรียนเรื่องถูกขับไล่ออกจากพื้นที่เช่าป่าสงวนดงใหญ่ โดยเครื่อข่ายฯได้คัดค้านมติสภา อบต.ลำนางรอง อ.โนนดินแดง จ.บุรีรัมย์ ที่มีมติให้บริษัทเอกชน และชาวบ้านเข้าไปเช่าพื้นที่ ป่าสงวนดงใหญ่ จากพื้นที่ป่า จำนวน 9 แปลง กว่า 23,700 ไร่
โดยภาคประชาชน เห็นว่ามติ อบต. ไม่โปร่งใส เนื่องจากที่ผ่านมาอบต. มีการประชุมเห็นชอบมติหลายแบบ จนก่อให้เกิดความสงสัย พร้อมทั้งขอให้รัฐบาล ชะลอการเช่าพื้นที่ป่าของบริษัทเอกชนไว้ก่อน เพราะการจัดสรรดังกล่าว ทางบริษัทสามารถดำเนินการเช่าพื้นที่ป่าได้มากถึง 16,000 ไร่ แต่ ประชาชนได้เข้าไปเช่าทำกินเพียง 6,000-7,000 ไร่ เท่านั้น ไม่เป็นไปตามเงื่อนไขที่จะให้ดำเนินการเช่าฝ่ายละ 50% ตามที่ได้สัญญาไว้
