xs
xsm
sm
md
lg

โบรกฯ เผยยอดโอนคอนโดฯ ศุภาลัย ดันกำไร Q2 พุ่งสูงสุด 44%

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


โบรกฯ แนะซื้อ SPALI ชี้ รายได้เติบโตสูง 15.8% yoy และ 22.2% qoq มีอัตราการทำกำไรขันต้นสูงที่สุดใน 10 ไตรมาส ที่ระดับ 45.1% เป็นการรับรู้รายได้ Backlog โดยเฉพาะ ยอดจากการโอนกรรมสิทธิ์โครงการคอนโดมิเนียม River Place และ Supalai Park ศรีนครินทร์ ขณะที่กำไรสุทธิ ก็สูงเป็นประวัตการณ์ สะท้อนการเติบโต 44% yoy และ 26.9% qoq นอกจากนี้ การเปิดโครงการใหม่อีกใน 2H/52 อีกถึง 9 โครงการ มูลค่า 10,150 ล้านบาท ถือเป็นปัจจัยสนับสนุนรายได้และต่อยอด Backlog ไปอีก 2–3 ปีข้างหน้า

สถาบันวิจัยนครหลวงไทย บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) นครหลวงไทย จำกัด เผยบทวิเคราะห์หลักทรัพย์ (หุ้น) บริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน) หรือ SPALI มีแนวโน้มสดใส โดยพบว่า รายได้เติบโตสูงถึง 15.8% yoy และ 22.2% qoq ใกล้เคียงกับประมาณการ ซึ่งเป็นการรับรู้รายได้ Backlog โดยเฉพาะ ยอดจากการโอนกรรมสิทธิ์โครงการคอนโดมิเนียม River Place และ Supalai Park ศรีนครินทร์

ทั้งนี้ พบว่า รายได้จากทั้ง 2 โครงการดังกล่าว ส่งผลให้ใน Q2 ปี 2552 SPALI มีรายได้เท่ากับ 2,546 ล้านบาท เติบโต 15.8% yoy และ 22.2% qoq ใกล้เคียงกับประมาณการ 2,428 ล้านบาท โดยคาดสัดส่วนรายได้จากโครงการคอนโดมิเนียมต่อแนวราบจะเท่ากับ 80 : 20 และ SPALI มีรายได้ของ 1H ปี 2552 ที่เท่ากับ 4,630 ล้านบาทและคิดเป็น 62% ของประมาณการที่ SCRI ที่คาดไว้ในปี 2552

นอกจากนี้ ยังพบว่า อัตราการทำกำไรขั้นต้นอยู่ในระดับสูงที่สุดใน 10 ไตรมาส และดีกว่าคาดเล็กน้อย โดยรายได้หลักใน Q2 ปี 2552 ซึ่งมาจากโครงการคอนโดมิเนียม ที่มีอัตราการทำกำไรขั้นต้นสูง ทำให้ SPALI มีอัตราการทำกำไรขันต้นสูงที่สุดใน 10 ไตรมาสที่เท่ากับ 45.1% และสูงกว่าที่ SCRI คาดไว้ที่เท่ากับ 44%

ขณะเดียวกัน กำไรสุทธิของ SPALI ก็สูงเป็นประวัตการณ์ สะท้อนการเติบโต 44% yoy และ 26.9% qoq และมากกว่าคาด เป็นการรับรู้ Backlog มูลค่าสูงประกอบกับเป็นส่วนที่มีอัตราการทำกำไรขั้นต้นในระดับสูง และค่าใช้จ่ายที่ยังคงสามารถควบคุมได้ดี ส่งผลให้ SPALI มีกำไรสูงเป็นประวัติการณ์ของบริษัทที่เท่ากับ 686 ล้านบาทเติบโต 44% yoy และ 26.9% qoq และมากกว่าที่ SCRI คาดไว้ที่ 615 ล้านบาท

เหตุผลดังกล่าว SCRI จึงปรับประมาณการรายได้และกำไรสุทธิ SPALI ในปี 2552 เพิ่มขึ้น 9.1% และ 15.4% ตามลำดับ มูลค่า Backlog ที่รอรับรู้รายได้และยอด Presale ที่สูงกว่าคาด และการเปิดโครงการใหม่อีกใน 2H ปี 2552 อีก 9 โครงการมูลค่า 10,150 ล้านบาท ซึ่งจะเป็นปัจจัยที่สนับสนุนรายได้และต่อยอด Backlog ไปอีก 2–3 ปีข้างหน้า เพื่อสะท้อนปัจจัยบวกดังกล่าว SCRI มีการปรับประมาณการรายได้และกำไรสุทธิในปี 2552 เพิ่มขึ้น 9.1% และ 15.4% ตามลำดับเป็นรายได้เท่ากับ 8,144 ล้านบาทเติบโต 32.1% yoy โดยรายได้ของ 1H ปี 2552 ที่เท่ากับ 4,630 ล้านบาทและคิดเป็น 56.7% ของประมาณการ ขณะที่กำไรสุทธิคาดที่เท่ากับ 1,970 ล้านบาทเติบโต 84.4% yoy และกำไรสุทธิใน 1H ปี 2552 ที่เท่ากับ 1,228 ล้านบาทและคิดเป็น 62% ของประมาณการ

สำหรับแนวโน้มในปี 2553 คาดว่าจะอ่อนตัวจากฐานที่สูงในปี 2552 ซึ่ง SCRI ประเมินแนวโน้มผลประกอบการของ SPALI ว่าในปี 2553 รายได้จะเติบโตจากมูลค่าของ Backlog ที่รอรับรู้ไม่ต่ำกว่า 5,500 ล้านบาทหรือคิดเป็น 65% ของประมาณการายได้ อย่างไรก็ตามอัตราการทำกำไรขันต้นจะไม่แข็งแกร่งเท่าปีนี้ และแรงกดดันจากการการกัลป์ไปจ่ายภาษีธุรกิจเฉพาะของกลุ่มจะเป็นปัจจัยทำให้ผลประกอบการปี 2553 คาจะอ่อนตัวลง 12.3% เป็นเท่ากับ 1,728 ล้านบาท

บทสรุปหุ้น SPALI คงคำแนะนำ “ซื้อ” ราคาที่เหมาะสมในปี 2552 เท่ากับ 5.20 บาทต่อหุ้นจ่ายปันผล 0.25 บาทต่อหุ้น การประเมินมูลค่าที่เหมาะสมด้วยวิธี P/BV ที่ 1.5 เท่าได้ราคาที่เหมาะสมใหม่ในปี 2552 เท่ากับ 5.20 บาทต่อหุ้นเพิ่มขึ้นจากเดิมที่ 4.05 บาทต่อหุ้นและคงคำแนะนำ “ซื้อ” SPALI ประกาศจ่ายปันผล 0.25 บาทต่อหุ้นะขึ้นเครื่องหมาย XD วันที่ 21 สิงหาคม 2552 จ่ายวันที่ 4 กันยายน 2552 ผลตอบแทนเท่ากับ 5.9%

ด้านบริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ยูไนเต็ด จำกัด (มหาชน) ยอมรับว่า ผลประกอบการ 2Q ปี2552 ของ SPALI ดีกว่าที่คาดไว้มาก เนื่องจากรายได้ที่รับรู้มากกว่าที่คาดไว้กว่า 240 ล้านบาท รวมทั้งอัตรากำไรขั้นต้นก็ทำได้ดีกว่าที่คาดเอาไว้ โดยในครึ่งปีแรกบริษัททำได้ถึง 66.5% ของกำไรที่ ยูไนเต็ดคาดการณ์ทั้งปี โดยประมาณการณ์กำไรทั้งปี 2552 ไว้ที่ระดับ 1,846 ล้านบาท (EPS 1.08 บาทต่อหุ้น) โดยมองว่า ผลประกอบการในครึ่งปีหลัง น่าจะยังคงออกมาดีจาก Backlog ที่รอโอนจำนวนมาก รวมทั้งแนวโน้มของเศรษฐกิจที่คาดว่าจะฟื้นตัวจะทำให้ยอดขายดีต่อเนื่อง และส่งผลดีต่อการรับรู้รายได้ในครึ่งปีหลัง

***ผู้บริหารฯ มั่นใจครึ่งปีหลัง SPALI ยังไปได้สวย
นายประทีป ตั้งมติธรรม ประธานกรรมการบริหาร SPALI เปิดเผยว่า ผลประกอบการในช่วงไตรมาส 2 ปี 2552 บริษัทสามารถทำยอดรับรู้รายได้สูงที่สุดเป็นประวัติการณ์ จำนวน 2,566 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 23% เมื่อเทียบกับไตรมาสแรกที่ทำได้2,094 ล้านบาท และเพิ่มขึ้น 16% เมื่อเทียบไตรมาส 2 ปี 2551 ที่ทำได้ 2,213 ล้านบาท

เนื่องจากได้รับการตอบรับที่ดีมากสำหรับโครงการบ้านจัดสรรทั้งบ้านเดี่ยวและทาวน์เฮ้าส์ที่เปิดขายใหม่ เพราะมีนวัตกรรมพัฒนาผลิตภัณฑ์อย่างต่อเนื่อง และเป็นบ้านประหยัดพลังงาน ประกอบกับมีการโอนกรรมสิทธิ์โครงการคอนโดมิเนียมที่เสร็จสมบูรณ์พร้อมเข้าอยู่ 2 โครงการใหญ่ ได้แก่ ศุภาลัย ปาร์ค ศรีนครินทร์ และศุภาลัย ริเวอร์ เพลส

รวมทั้งมีการควบคุมต้นทุนค่าที่ดิน การก่อสร้างและค่าใช้จ่ายได้อย่างมีประสิทธิภาพบวกกับการมีธรรมาภิบาลที่ดี ทำให้สามารถทำอัตรากำไรสุทธิสูงถึง 26% ของรายได้ ซึ่งนับว่าเป็นบริษัทจดทะเบียน ที่สามารถบริหารผลตอบแทนให้ผู้ถือหุ้นได้สูงสุดในประเภทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ในขณะที่ค่าใช้จ่ายการขายและบริหารลดลงเหลือเพียง 6% ของรายได้โดยส่งผลให้ไตรมาสที่ 2 ปี 2552 บริษัทมีกำไรสุทธิ 686.42 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 44% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของก่อน ที่มีกำไรสุทธิ 476.37 ล้านบาท

นายประทีป กล่าวว่า จากผลประกอบการที่ดีอย่างต่อเนื่องในครึ่งปีแรกของปีนี้ ทำให้บริษัทสามารถทำกำไรสุทธิสูงถึง 1,227.53 ล้านบาท คิดเป็นกำไรสุทธิต่อหุ้น 0.77 บาทเพิ่มขึ้น 89% จากงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 649.30 ล้านบาท และสูงกว่าผลกำไรสุทธิทั้งปี 2551 ซึ่งมีกำไรสุทธิ 1,069 ล้านบาท ถึง 15% และครึ่งปีแรกปีนี้ บริษัทมีรายได้รวม 4,659.86 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 43% จากงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้รวม 3,260.51 ล้านบาท

อีกทั้งบริษัทมียอดทำสัญญาที่รอโอนและรับรู้รายได้ หรือ Backlog ประมาณ 13,000 กว่าล้านบาท ซึ่งจะสามารถรับรู้รายได้ตั้งแต่ครึ่งปีหลังของปี 2552 นี้ไปจนถึงปลายปี 2554 ทำให้นักลงทุนสามารถเห็นภาพการเจริญเติบโตทางรายได้ของบริษัทได้อย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ เป็นผลมาจากนโยบายการพัฒนาที่อยู่อาศัยครบทุกประเภททั้งแนวราบและแนวสูงต่อเนื่องมาหลายปี ซึ่งได้ผลดีทั้งเพิ่มศักยภาพการเติบโตและกระจายความเสี่ยงในการลงทุน ทำให้บริษัทอื่น ๆ หันมาทำตามในภายหลัง

นายประทีป กล่าวต่อว่า บริษัทยังมีแผนเปิดตัวโครงการใหม่อีก 9 โครงการ มูลค่ารวม10,000 ล้านบาท ในช่วงครึ่งปีหลังของปีนี้ และยังได้ทำการซื้อที่ดินเพื่อพัฒนาโครงการใหม่อย่างต่อเนื่องไว้แล้วสำหรับการเปิดโครงการเพิ่มเติมในปี 2553 เพื่อสนับสนุนการเจริญเติบโตอย่างต่อเนื่อง

นอกจากนี้ บริษัทได้ดำเนินการเปิดตัวโครงการใหม่ จำนวน 3 โครงการภายในเดือนสิงหาคมนี้ ได้แก่ ศุภาลัย วิลล์ ราชพฤกษ์-เพชรเกษม 48 , ศุภาลัย พาร์ควิลล์ รามอินทรา 23 และศุภาลัย คาซา ริวา วิสต้า 2 เพียงครึ่งเดือนแรกที่เปิดจอง ทั้ง 3 โครงการขายได้รวมกันแล้วประมาณ 400 ล้านบาท เพราะลูกค้าพึงพอใจในรูปแบบบ้านและความคุ้มค่าของราคา ตลอดจนเชื่อใจในความเป็น "บ้านที่ดี" ของ "ศุภาลัย"

อย่างไรก็ตาม จากผลประกอบการที่ดี และมีสภาพคล่องทางการเงินที่ดี ดังนั้น คณะกรรมการบริษัทมีมติที่จะจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลเป็นจำนวน 0.25 บาทต่อหุ้น ทั้งนี้กำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้นที่มีสิทธิในการรับเงินปันผลระหว่างกาล (Record Date) ในวันที่ 25 สิงหาคม 2552 และให้รวบรวมรายชื่อตามมาตรา 225 ของ พรบ.หลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ โดยปิดสมุดทะเบียนในวันที่ 26 สิงหาคม 2552 และกำหนดวันจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลในวันที่ 4 กันยายน 2552
กำลังโหลดความคิดเห็น