บล.คันทรี่ เร่งแผนชิงส่วนแบ่งตลาด 8% เน้นรายย่อย-นักลงทุนรุ่นใหม่ ยอมรับทีมมาร์เกตติ้ง บล.บีฟิท 30-40 คน โผเข้าซบจริง ส.ค.นี้ ส่งผลให้ บล.คันทรี่ เป็นโบรกเกอร์ที่มีมาร์เกตติ้งสูงสุด 600 คน และล้างผลขาดทุนสะสมได้ทั้งหมด มั่นใจ หลังจากนี้จะไม่เห็นภาพโบรกฯหุ้นปั่น
นายบี เตชะอุบล กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) คันทรี่ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ CGS กล่าวถึงแผนงานในช่วงครึ่งปีหลัง โดยคาดว่าในไตรมาส 3/2552 ส่วนแบ่งการตลาดของบริษัทจะเพิ่มขึ้นเป็น 8% จากปัจจุบันมีอยู่ 6-7% และเมื่อต้นปีที่ผ่านมาอยู่ 2% เนื่องจากบริษัทได้ทีมเจ้าหน้าที่การตลาด (มาร์เกตติ้ง) จาก บล.ฟาร์อีสท์ จำกัด (มหาชน) หรือ BSEC เข้ามาเสริมทีม ประมาณ 30-40 คน จากก่อนหน้าบริษัทได้เพิ่มทีมมาร์เก็ตติ้งมาบ้างแล้ว
ปัจจุบัน บริษัทมีทีมมาร์เกตติ้งราว 600 คน ถือว่าเป็นบริษัทหลักทรัพย์ที่มีมาร์เกตติ้งสูงสุด ดังนั้น บริษัทจะใช้ทีมมาร์เกตติ้ง เพื่อช่วยเข้ามาสร้างรายได้ จากปัจจัยดังกล่าวอาจช่วยให้บริษัทสามารถพลิกมาเป็นกำไรได้ในช้วงครึ่งปีหลัง ภายใต้ปริมาณการซื้อขายที่ขณะนี้มีทิศทางดีขึ้น
สำหรับแผนการลดทุนรอบใหม่ บล.คันทรี่ กำลังเร่งดำเนินการ โดยเชื่อว่า ภายในปลายปีนี้ บริษัทจะสามารถล้างขาดทุนสะสมได้หมด และทำให้บริษัทมีศักยภาพในการจ่ายเงินปันผลงวดปีนี้ได้
ทั้งนี้ คาดว่า จะได้เงินจากการขายหุ้นให้ผุ้ถือหุ้นเดิม หรือ RO จำนวน 606 ล้านบาท ซึ่งเงินดังกล่าวใช้รองรับในการขยายธุรกิจ ขณะที่ในส่วนของวอร์แรนต์มีนโยบายในการแปลงสิทธิ 3 ปี ซึ่งจะมีเม็ดเงินทยอยเข้ามา โดยทั้ง RO และวอร์แรนต์ คาดว่าจะได้เงินจำนวน 1.5 พันล้านบาท
“สิ่งที่เราพอใจ คือ ต้องการให้บริษัทฯมีกำไรมากที่สุด โดยเน้นขยายบัญชีลูกค้าและวางแผนการตลาดมากขึ้น โดยกลุ่มลูกค้าจะเป็นกลุ่มอายุ 18-40 ปี และเป็นกลุ่มเริ่มทำงาน ทั้งนี้ปัจจุบันบัญชีที่แอคทีฟอยู่ที่ 60% จากบัญชีทั้งหมด 4 หมื่นบัญชี เพิ่มขึ้นจากต้นปีที่มีบัญชีแอกทีฟอยู่ที่ 40% นอกจากนี้ จะเน้นเป็นที่ปรึกษาทางการเงิน โดยการกระจายรายได้จะเริ่มเห็นชัดในปี 2554”
นอกจากนี้ บริษัทยังอยู่ระหว่างการเจรจากับนักลงทุนสถาบันที่สนใจจะเข้ามาซื้อขายหุ้นผ่านบริษัทมีจำนวน 7 ราย จากสิงคโปร์ ฮ่องกง ออสเตรเลีย สหรัฐฯ และ จีน โดยคาดว่า นักลงทุนเหล่านี้จะเข้ามาเทรดใน 2 เดือนข้างหน้า ซึ่งขณะนี้บริษัทกำลังติดตั้งระบบรองรับลูกค้ากลุ่มดังกล่าว การเข้ามาเทรดผ่านบริษัทก็ทำให้สัดส่วนนักลงทุนสถาบับของบริษัทเพิ่มมาเป็น 25% จากปัจจุบัน 5%
“ผมเชื่อว่า หลังจากนี้ ทุกคนจะไม่เห็นภาพว่าผมเป็นโบรกฯ หุ้นปั่น เพราะการที่ผมมีรายย่อย 10% ของจำนวนรายย่อยตลาดทั้งหมดที่มีอยู่ 4 แสนบัญชี และด้วยความพยายามพัฒนาสินค้าใหม่ๆ ที่นอกเหนือนายหน้าค้า ซึ่งขณะนี้เขาก็อยู่ระหว่างการเตรียมรูปแบบการลงทุน ซึ่งเป็นที่ปรึกษาด้านการลทุน เพื่อให้นักลงทุนสามารถลงทุนได้หลายรูปแบบ ตรงนี้ทำให้เราลบภาพที่คนเขามองกัน”
โดยก่อนหน้านี้ มีกระแสข่าวว่า ภายในเดือนสิงหาคม 2552 นี้ นายเดชา แปงคำ กรรมการผู้จัดการ บล.บีฟิท จะย้ายเข้ามาทำงานกับ บล.คันทรี่ พร้อมกับทีมงานมาร์เกตติ้งอีกราว 30-40 คน ซึ่งจะส่งผลให้มูลค่าการซื้อขายของบริษัทเพิ่มขึ้นประมาณ 320 ล้านบาท หรือคิดเป็นมาร์เกตแชร์ที่เพิ่มขึ้นราว 1% คิดจากวอลุ่มเทรดของตลาดโดยรวมเฉลี่ยต่อวันที่ 1.6 หมื่นล้านบาท