xs
xsm
sm
md
lg

บล.คันทรี่เน้นรุกธุรกรรมทุกรูปแบบ หวังดันมาร์เก็ตแชร์ปีนี้แตะระดับ8%

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

บล.คันทรี่ เน้นขยายธุรกรรมทุกรูปแบบ หลังได้ทีมงานใหม่เสริม ตั้งเป้ามาร์เกตแชร์ปีนี้แตะ 8% แจงเหตุเพิ่มทุนหวังล้างขาดทุนสะสมเพิ่มศักยภาพ เพื่อให้ผลตอบแทนคืนผู้ถือหุ้น เตรียมเข็น "เซาท์เทิร์นสตีล " เข้าตลาด mai ปลายปี 52 เผย " เดชา แปงคำ " หันหลังให้บีฟิทซบ CGS กันยายนนี้ พร้อมซื้อสาขาบีฟิทเพิ่ม

นายบี เตชะอุบล กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) คันทรี่ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ CGS เปิดเผยว่า ปีนี้บริษัทคงเน้นขยายธุรกิจและการให้บริการแบบครบวงจร ภายหลังจากได้รับประโยชน์จากทีมงานใหม่ของนางสาวสุดธิดา จิระพัฒน์สกุล และทีมมาร์เก็ตติ้งที่มาพร้อมกันเกือบ 40 คน ส่งผลให้มาร์เก็ตติ้งของบริษัทเพิ่มขึ้นรวมทั้งสิ้นเกือบ 450 คน ขณะที่มูลค่าซื้อขายเฉลี่ยที่ 1.4-1.5 หมื่นบ้านบาทต่อวัน ซี่งตัวเลขวอลุ่มซื้อขายดังกล่าวถือว่าสามารถถึงจุดคุ้มทุนแล้ว

ทั้งนี้ หากทุกอย่างเป็นไปตามที่วางไว้ บริษัทฯตั้งเป้าจะมีส่วนแบ่งการตลาด (มาร์เกตแชร์) สิ้นปีนี้เพิ่มขึ้นเป็น 8% จากปัจจุบันที่มีมาร์เก็ตแชร์อยู่ที่ 6-7% และยังมีนักลงทุนสถาบันที่สนใจเข้ามาเปิดบัญชีกับบริษัท 7 ราย โดยมีมูลค่าต่ำสุดอยู่ที่ 4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐต่อราย และมูลค่าสูงสุดอยู่ที่ 680 พันล้านดอลลาร์สหรัฐต่อราย ซึ่งเป็นกลุ่มนักลงทุนในประเทศฮ่องกง จีน สิงคโปร์ ออสเตรเลีย และสหรัฐอเมริกา ปัจจุบันอยู่ระหว่างเตรียมระบบรองรับ คาดว่าจะเริ่มเทรดได้ใน 2 เดือนนี้ และจะส่งผลให้สัดส่วนนักลงทุนสถาบันเพิ่มขึ้นเป็น 25% จากเดิมที่มีสัดส่วนนักลงทุนสถาบันอยู่ที่ 5% จากการเพิ่้มของลูกค้าดังกล่าวบริษัทฯคาดการณ์ว่าในช่วงครึ่งปีหลังนี้ผลงานจะพลิกฟื้นกำไรได้

สำหรับการลดทุนรอบนี้จะทำให้บริษัทฯล้างขาดทุนสะสมหมด และมีศักยภาพในการจ่ายเงินปันผลงวดปีนี้ได้ ซึ่งคาดว่าจะได้เงินจากการขายหุ้นให้ผุ้ถือหุ้นเดิม ( RO) 606 ล้านบาท เพื่อนำไปใช้ในการขยายงาน ส่วนใบสำคัญแสดงสิทธิจะแปลงสิทธิ 3 ปี ซึ่จะมีเม็ดเงินทยอยเข้ามา คาดว่าจะได้เงินจากทั้งสองส่วน 1.5 พันล้านบาท

" เราพยายามทำให้บริษัทมีกำไรมากที่สุด ด้วยวิธีการวางแผนการตลาดและขยายบัญชีลูกค้าใหม่เพิ่ม โดยเฉพาะกลุ่มลูกค้าอายุระหว่าง 18-40 ปี ขณะที่ปัจจุบันมีบัญชีลูกค้าทั้งหมด 4 หมื่นบัญชี ซึ่งเป็นบัญชีที่มีการซื้อขายประจำประมาณ 60% " นายบีกล่าว

ส่วนความคืบหน้าของการซื้อธุรกิจหลักทรัพย์จากประเทศสิงคโปร์นั้นมีแนวโน้มจะล่าช้ากว่ากำหนดเดิมที่คาดว่าจะจบดีลภายใน 2 เดือนข้างหน้านี้ หลังบรรยายกาศตลาดหุ้นกลับมาดีขึ้น ซึ่งส่งผลให้ธุรกิจหลักทรัพย์มีทิศทางดีขึ้นจนทำให้ราคาซื้อขายเพิ่มขึ้นตาม ฉะนั้นจึงจำเป็นต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ

ด้านนายชูพงศ์ ธนเศรษฐกร กรรมการผู้จัดการด้านวาณิชธนกิจ CGS กล่าวว่าในฐานะที่ปรึกษาทางการเงินบริษัท เซาท์เทิร์นสตีล จำกัด (มหาชน) มีแผนเตรียมนำเข้าระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ ( mai ) ภายในไตรมาส 3 นี้ คาดว่าจะมีหุ้นสามัญเพิ่มทุนที่เสนอขายแก่ประชาชนครั้งแรก (IPO) 60 ล้านหุ้น หรือ 30% ของจำนวนหุ้นสามัญที่ชำระแล้วทั้งหมด ซึ่งปัจจุบันอยู่ระหว่างการตรวจสอบข้อมูลต่างๆ คาดได้ความชัดเจนเดือนสิงหาคมนี้

ปัจจุบันบริษัทมีงานในมือ (BACKLOG) เป็นงานเกี่ยวกับ IPO ประมาณ 10 ดีล โดยแบ่งเป็นเข้าระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) และmai อย่างละ 5 ดีล คาดเข้าเทรดปีนี้ 2-3 ดีล และยังมีงาน M&A อีก 5 ดีล มูลค่าพันล้านบาท คาดปีนี้ดีล M&A เสร็จ 1 ดีล ซึ่งดีล M&A นี้มีการควบรวมกิจการของบริษัทต่างชาติที่สนใจเข้ามาลงทุนในบริษัทโลจิสติกส์ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) รวมอยู่ด้วย

" ส่วนตัวไม่ค่อยรู้สึกกังวลใจเรื่องการนำหุ้นเข้าตลาด เพราะสิ่งสำคัญคือคุณภาพงานด้วยต้องดูเรื่องความพร้อมเป็นหลัก ไม่ได้เน้นเม็ดเงินที่จะได้รับ จึงมั่นใจว่าหุ้นดังกล่าวน่าจะได้รับการตอบรับจากนักลงทุนเป็นอย่างดี โดยจุดเด่นของหุ้น เซาท์เทิร์นสตีล อยู่ที่การมีศูนย์กระจายสินค้าครอบคลุมทุกภูมิภาคเพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าและประหยัดต้นทุนค่าขนส่งด้วย " นายชูพงศ์กล่าว

ด้านแหล่งข่าวผู้บริหารระดับสูงจาก บล.คันทรี่ จำกัด (มหาชน) กล่าวถึงเรื่องนายเดชา แปงคำ กรรมการผู้จัดการ สายงานธุรกิจค้าหลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ บีฟิท จำกัด (มหาชน) (BSEC) ว่าเตรียมย้ายมาทำงานที่ CGS โดยคาดว่าจะเริ่มงานได้ประมาณต้นเดือนกันยายน 52 หลังจากผลการเจรจาคืบหน้าเกือบ 100% พร้อมเตรียมเงิน 6 ล้านบาท เพื่อซื้อสาขาของ บล.บีฟิท 3 แห่ง เพื่อใช้เป็นสาขาในการดำเนินงานของบริษัท คาดเจรจาเสร็จสิงหาคมนี้ และคาดใช้เงินทุนสาขาละไม่เกิน 2 ล้านบาท ขณะสินทรัพย์ของแต่ละสาขาประมาณ 5-7 ล้านบาท
กำลังโหลดความคิดเห็น