บล.คันทรี กรุ๊ป พับแผนควบรวมโบรกเกอร์สัญชาติไทย ผู้บริหารมั่นใจสามารถฝันฝ่าวิกฤต-รับมือเปิดเสรีธุรกิจหลักทรัพย์ หลังดึง “ประสิทธิ์ ศรีสุวรรณ” พร้อมทีมอีก 70 คนร่วมงาน ส่งผลให้มีลูกค้าย้ายตาม 6 พันบัญชี สาขา 6 สาขา ตั้งเป้าเพิ่มมาร์เกตแชร์เป็น 7% ติดอันดับสาม จากปัจจุบันมาร์เกตแชร์อยู่ที่ 3%
นายบี เตชะอุบล กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) คันทรี่ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ CGS เปิดเผยถึงแผนการดำเนินงานควบรวมกิจการของบริษัทหลักทรัพย์สัญชาติไทย ว่า ขณะนี้บริษัทได้ยกเลิกแผนที่จะควบรวมกับ บล.ในประเทศไทยแล้ว จากเดิมที่บริษัทกำลังศึกษาที่จะควบรวมกับ บล.อื่น สืบเนื่องจากบริษัทได้ทีมของ นายประสิทธิ์ ศรีสุวรรณ ที่ย้ายจาก บล.บีฟิท เข้ามาดำรงตำหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัท ทำให้มีลูกค้าเพิ่มขึ้น และสาขาเพิ่มขึ้นเป็น 40 สาขา จากปัจจุบันที่มี 34 สาขา
“หลังจากบริษัทได้นายประสิทธิ์ และทีมเข้ามาร่วมงาน รวมถึงการลงทุนพัฒนาระบบไอทีเพื่อรองรับการให้บริการแก่ลูกค้ามากขึ้น ทำให้บริษัทสามารถเติบโตได้ด้วยตนเอง โดยไม่ต้องควบรวมหรือเข้าไปซื้อกิจการ (เทกโอเวอร์) โบรกเกอร์อื่น”
ทั้งนี้ บริษัทตั้งเป้าเป็นโบรกเกอร์รายย่อยอันดับ 1 ที่จะให้คำปรึกษาการลงทุน และให้คำแนะนำการลงทุนแก่นักลงทุนรายย่อยทุกรายโดยไม่ได้กำหนดวงเงินการลงทุน โดยบริษัทจะรับเจ้าหน้าที่การตลาด (มาร์เกตติ้ง) เพิ่มอีก 150 คน จากปัจจุบันที่มีอยู่ 400 คน ซึ่งจะทำให้บริษัทคาดว่า ในระยะ 7-8 เดือน นับจากนี้จะสามารถเพิ่มลูกค้าได้อีก 30,000 บัญชี จากปัจจุบันอยู่ที่ 40,000 บัญชี รวมทั้งสิ้น 70,000 บัญชี
สำหรับความคืบหน้าในการซื้อกิจการโบรกเกอร์ที่ฮ่องกงนั้น ขณะนี้บริษัทอยู่ระหว่างการพิจารณาจะซื้อโบรกเกอร์ฮ่องกงทั้ง 2 แห่ง หรืออาจจะเลือกเพียงแห่งเดียว ซึ่งจะขึ้นอยู่กับราคาซื้อขาย หากราคาอยู่ในระดับที่บริษัทพอใจบริษัทอาจจะซื้อโบรกเกอร์ที่ฮ่องกงทั้ง 2 บริษัท เพื่อที่จะเพิ่มสัดส่วนนักลงทุนสถาบันของบริษัทมากขึ้น ซึ่งคาดว่า จะได้ข้อสรุปในการซื้อภายในสิ้นปีนี้ โดยจะใช้เงินซื้อประมาณแห่งละ 100-300 ล้านบาท ส่วนการซื้อกองทุนที่ประเทศสิงคโปร์นั้นคาดว่าจะสรุปได้ภาย 2 เดือนนี้
นอกจากนี้ บริษัทจะมีแผนการขยายการทำธุรกิจมากขึ้นครบวงจร ทั้งการเป็นนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ อนุพันธ์ ตราสารหนี้ การเป็นที่ปรึกษาทางการเงิน ที่ปรึกษาทางการลงทุน การทำธุรกิจการยืมและให้ยืมหลักทรัพย์ (SBL) บริการกองทุนส่วนบุคคลคล การเป็นตัวแทนจำหน่ายกองทุนต่างๆ เพื่อทำให้บริษัทสามารถอยู่รอดได้หากมีการเปิดเสรีธุรกิจหลักทรัพย์และการเปิดเสรีค่าธรรมเนียมซื้อขายหลักทรัพย์ (ค่าคอมมิชชัน)
ด้าน นายประสิทธิ์ ศรีสุวรรณ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บล.คันทรี่ กรุ๊ป กล่าวเพิ่มเติมว่า ทีมงานที่ย้ายมาทำงานกับ บล.คันทรี่ กรุ๊ป จำนวน 70 คน แบ่งเป็นมาร์เกตติ้ง 50 คน เจ้าหน้าที่ดูแลการลงทุนจำนวน 10 คน และฝ่ายปฏิบัติงานหลักทรัพย์ (แบ็กออฟฟิศ) จำนวน 10 คน โดยมีบัญชีลูกค้าย้ายมาจากบล.บีฟิท จำนวน 6,000 บัญชี และเป็นบัญชีที่มีการซื้อขายสม่ำเสมอ (แอกทีฟ) จำนวน 2,000 บัญชีต่อเดือน
ทั้งนี้ จากที่บริษัทมีการขยายธุรกิจครบวงจรและมีการทำการตลาดมากขึ้นคาดว่าส่วนแบ่งการตลาด (มาร์เกตแชร์) ของบริษัทจะสามารถอยู่ที่ระดับ 7% ในปีนี้ จากปัจจุบันที่มีจำนวน 3% โดยตั้งเป้าจะเป็นโบรกเกอร์ที่มีมาร์เกตแชร์สูงสุดติดอับดับ 1 ใน 3 และบริษัทจะมีการเปิดสาขาไซเบอร์บลานซ์ และมินิบลานซ์ ในทำเลที่ดีที่บริษัทสามารถหาลูกค้าเพิ่มได้มากขึ้น
“มาร์เกตแชร์ปีนี้ของบริษัท 7% นั้น ไม่ใช่เรื่องยาก จากที่บริษัทจะมีการหาลูกค้าเพิ่มมากขึ้น อีก 3 หมื่นบัญชี และการให้บริการที่ครบวงจรของบริษัท ซึ่งปัจจุบันบริษัทมีลูกค้าจำนวน 4 หมื่นบัญชี แอกทีฟ 1.7 หมื่นบัญชี และหากรวมกับลูกค้าที่จะย้ายตามมาจากบล.บีฟิทอีก 6 พันบัญชี แอกทีฟจำนวน 2 พันบัญชี รวมเป็น 4.6 หมื่นบัญชี” นายประสิทธิ์ กล่าว
ทั้งนี้ บล.คันทรี่กรุ๊ป จะมีการเริ่มลงทุนพอร์ตในเดือนนี้ หลังจากที่ผ่านมาหยุดการลงทุนไป ซึ่งบริษัทมีมูลค่าพอร์ตการลงทุนรวมจำนวน 1,500 ล้านบาท ซึ่งจะใช้ในการปล่อยมาร์จินโลนประมาณ 650 ล้านบาท และใช้ในการลงทุนหุ้นระยะสั้น ซึ่งจะเน้นลงทุนในบริษัทที่อยู่ใน SET100 โดยจะใช้เงินลงทุนประมาณ 100 ล้านบาท ซึ่งคาดว่าจะได้รับผลตอบแทนการลงทุนประมาณ 50 ล้านบาทต่อปี
นายบี เตชะอุบล กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) คันทรี่ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ CGS เปิดเผยถึงแผนการดำเนินงานควบรวมกิจการของบริษัทหลักทรัพย์สัญชาติไทย ว่า ขณะนี้บริษัทได้ยกเลิกแผนที่จะควบรวมกับ บล.ในประเทศไทยแล้ว จากเดิมที่บริษัทกำลังศึกษาที่จะควบรวมกับ บล.อื่น สืบเนื่องจากบริษัทได้ทีมของ นายประสิทธิ์ ศรีสุวรรณ ที่ย้ายจาก บล.บีฟิท เข้ามาดำรงตำหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัท ทำให้มีลูกค้าเพิ่มขึ้น และสาขาเพิ่มขึ้นเป็น 40 สาขา จากปัจจุบันที่มี 34 สาขา
“หลังจากบริษัทได้นายประสิทธิ์ และทีมเข้ามาร่วมงาน รวมถึงการลงทุนพัฒนาระบบไอทีเพื่อรองรับการให้บริการแก่ลูกค้ามากขึ้น ทำให้บริษัทสามารถเติบโตได้ด้วยตนเอง โดยไม่ต้องควบรวมหรือเข้าไปซื้อกิจการ (เทกโอเวอร์) โบรกเกอร์อื่น”
ทั้งนี้ บริษัทตั้งเป้าเป็นโบรกเกอร์รายย่อยอันดับ 1 ที่จะให้คำปรึกษาการลงทุน และให้คำแนะนำการลงทุนแก่นักลงทุนรายย่อยทุกรายโดยไม่ได้กำหนดวงเงินการลงทุน โดยบริษัทจะรับเจ้าหน้าที่การตลาด (มาร์เกตติ้ง) เพิ่มอีก 150 คน จากปัจจุบันที่มีอยู่ 400 คน ซึ่งจะทำให้บริษัทคาดว่า ในระยะ 7-8 เดือน นับจากนี้จะสามารถเพิ่มลูกค้าได้อีก 30,000 บัญชี จากปัจจุบันอยู่ที่ 40,000 บัญชี รวมทั้งสิ้น 70,000 บัญชี
สำหรับความคืบหน้าในการซื้อกิจการโบรกเกอร์ที่ฮ่องกงนั้น ขณะนี้บริษัทอยู่ระหว่างการพิจารณาจะซื้อโบรกเกอร์ฮ่องกงทั้ง 2 แห่ง หรืออาจจะเลือกเพียงแห่งเดียว ซึ่งจะขึ้นอยู่กับราคาซื้อขาย หากราคาอยู่ในระดับที่บริษัทพอใจบริษัทอาจจะซื้อโบรกเกอร์ที่ฮ่องกงทั้ง 2 บริษัท เพื่อที่จะเพิ่มสัดส่วนนักลงทุนสถาบันของบริษัทมากขึ้น ซึ่งคาดว่า จะได้ข้อสรุปในการซื้อภายในสิ้นปีนี้ โดยจะใช้เงินซื้อประมาณแห่งละ 100-300 ล้านบาท ส่วนการซื้อกองทุนที่ประเทศสิงคโปร์นั้นคาดว่าจะสรุปได้ภาย 2 เดือนนี้
นอกจากนี้ บริษัทจะมีแผนการขยายการทำธุรกิจมากขึ้นครบวงจร ทั้งการเป็นนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ อนุพันธ์ ตราสารหนี้ การเป็นที่ปรึกษาทางการเงิน ที่ปรึกษาทางการลงทุน การทำธุรกิจการยืมและให้ยืมหลักทรัพย์ (SBL) บริการกองทุนส่วนบุคคลคล การเป็นตัวแทนจำหน่ายกองทุนต่างๆ เพื่อทำให้บริษัทสามารถอยู่รอดได้หากมีการเปิดเสรีธุรกิจหลักทรัพย์และการเปิดเสรีค่าธรรมเนียมซื้อขายหลักทรัพย์ (ค่าคอมมิชชัน)
ด้าน นายประสิทธิ์ ศรีสุวรรณ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บล.คันทรี่ กรุ๊ป กล่าวเพิ่มเติมว่า ทีมงานที่ย้ายมาทำงานกับ บล.คันทรี่ กรุ๊ป จำนวน 70 คน แบ่งเป็นมาร์เกตติ้ง 50 คน เจ้าหน้าที่ดูแลการลงทุนจำนวน 10 คน และฝ่ายปฏิบัติงานหลักทรัพย์ (แบ็กออฟฟิศ) จำนวน 10 คน โดยมีบัญชีลูกค้าย้ายมาจากบล.บีฟิท จำนวน 6,000 บัญชี และเป็นบัญชีที่มีการซื้อขายสม่ำเสมอ (แอกทีฟ) จำนวน 2,000 บัญชีต่อเดือน
ทั้งนี้ จากที่บริษัทมีการขยายธุรกิจครบวงจรและมีการทำการตลาดมากขึ้นคาดว่าส่วนแบ่งการตลาด (มาร์เกตแชร์) ของบริษัทจะสามารถอยู่ที่ระดับ 7% ในปีนี้ จากปัจจุบันที่มีจำนวน 3% โดยตั้งเป้าจะเป็นโบรกเกอร์ที่มีมาร์เกตแชร์สูงสุดติดอับดับ 1 ใน 3 และบริษัทจะมีการเปิดสาขาไซเบอร์บลานซ์ และมินิบลานซ์ ในทำเลที่ดีที่บริษัทสามารถหาลูกค้าเพิ่มได้มากขึ้น
“มาร์เกตแชร์ปีนี้ของบริษัท 7% นั้น ไม่ใช่เรื่องยาก จากที่บริษัทจะมีการหาลูกค้าเพิ่มมากขึ้น อีก 3 หมื่นบัญชี และการให้บริการที่ครบวงจรของบริษัท ซึ่งปัจจุบันบริษัทมีลูกค้าจำนวน 4 หมื่นบัญชี แอกทีฟ 1.7 หมื่นบัญชี และหากรวมกับลูกค้าที่จะย้ายตามมาจากบล.บีฟิทอีก 6 พันบัญชี แอกทีฟจำนวน 2 พันบัญชี รวมเป็น 4.6 หมื่นบัญชี” นายประสิทธิ์ กล่าว
ทั้งนี้ บล.คันทรี่กรุ๊ป จะมีการเริ่มลงทุนพอร์ตในเดือนนี้ หลังจากที่ผ่านมาหยุดการลงทุนไป ซึ่งบริษัทมีมูลค่าพอร์ตการลงทุนรวมจำนวน 1,500 ล้านบาท ซึ่งจะใช้ในการปล่อยมาร์จินโลนประมาณ 650 ล้านบาท และใช้ในการลงทุนหุ้นระยะสั้น ซึ่งจะเน้นลงทุนในบริษัทที่อยู่ใน SET100 โดยจะใช้เงินลงทุนประมาณ 100 ล้านบาท ซึ่งคาดว่าจะได้รับผลตอบแทนการลงทุนประมาณ 50 ล้านบาทต่อปี