พัฒนสิน ไตรมาส 3 กำไรลดเหลือไม่ถึง 17 ล้านบาท หรือวูบจากปี 51 เกิน 60% เหตุรายได้ค่านายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์และรายได้อื่นลดตามภาวะตลาด และขาดทุนจากการขายเงินลงทุนในหลักทรัพย์เผื่อขายตราสารทุน สวนทางรายได้ค่าธรรมเเนียมและบริการที่้เพิ่มขึ้น
นางสาววรางคณา วสุวานิช ผู้บังคับบัญชาสายงานการเงิน บริษัทหลักทรัพย์ พัฒนสิน จำกัด (มหาชน) ( CNS ) แจ้งผลการดำเนินงานไตรมาส3 สิ้นสุด 31 พฤษภาคม 2552 ก่อนสอบทานโดยผู้สอบบัญชี ว่าบริษัทมีกำไรสุทธิ 16.85 ล้านบาท ลดลงจากงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 42.51 ล้านบาท หรือลดลง 25.66 ล้านบาท คิดเป็นลดลง 60.32% ส่วนกำไรสุทธิต่อหุ้นลดจาก 0.59 บาท เหลือ0.24 บาทในไตรมาส 3 ปีนี้
โดยบริษัทมีรายได้ค่านายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์และสัญญาซื้อขายล่วงหน้า ลดลง 22.28 ล้านบาท หรือ 15.9 % ส่วนใหญ่เป็นผลมาจากการลดลงของมูลค่าซื้อขายหลักทรัพย์ของตลาดโดยรวมจากเฉลี่ยประมาณ 20,249 ล้านบาทต่อวัน ในไตรมาสที่ 3 ของปี 2551 มาเป็น 15,732 ล้านบาทต่อวัน ในไตรมาสเดียวกันของปี 2552 หรือลดลง 22.3%
ขณะที่มีรายได้ค่าธรรมเนียมและบริการเพิ่มขึ้นรวม 47.62 ล้านบาท เนื่องจากการเพิ่มขึ้นของรายได้จากการให้บริการเป็นที่ปรึกษาทางการเงิน และกำไรจากการซื้อขายหลักทรัพย์ลดลง 6.86 ล้านบาท เนื่องจากในไตรมาสที่ 3 ของปี 2551 บริษัท ๆ มีกำไรจากการขายเงินลงทุนทั่วไปประมาณ 5.62 ล้านบาท ในขณะที่ไตรมาสเดียวกันของปี 2552 บริษัทๆมีผลขาดทุนจากการขายเงินลงทุนในหลักทรัพย์เผื่อขายตราสารทุนประมาณ 1.67 ล้านบาท
ส่วนรายได้อื่น ๆ ลดลงรวม 21.24 ล้านบาท ซึ่งส่วนใหญ่เป็นการลดลงของเงินปันผลและดอกเบี้ยรับ และดอกเบี้ยเงินให้กู้ยืมเพื่อซื้อหลักทรัพย์ เนื่องจากการลดลงของอัตราดอกเบี้ยท้องตลาด ขณะที่ค่าใช้จ่ายรวมเพิ่มขึ้น 33.66 ล้านบาท ปัจจัยหลักมาจากการเพิ่มขึ้นของค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับพนักงานจำนวน 38.26 ล้านบาท เนื่องจากการให้บริการการเป็นที่ปรึกษาทางการเงิน ในขณะที่ค่าใช้จ่ายอื่นๆลดลง 4.60 ล้านบาท และภาษีเงินได้นิติบุคคลของบริษัทฯ ลดลง 10.75 ล้านบาท ซึ่งเป็นผลมาจากการลดลงของรายได้ดังกล่าวข้างต้น
ขณะที่งวด 9 เดือน บริษัทมีรายได้ค่านายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์และสัญญาซื้อขายล่วงหน้า ลดลง 127.51 ล้านบาท หรือ 28.5 % ส่วนใหญ่เป็นผลมาจากการลดลงของมูลค่าซื้อขายหลักทรัพย์ของตลาดโดยรวมจากเฉลี่ยประมาณ 19,735 ล้านบาทต่อวัน ในงวด 9 เดือนแรกของปี 2551 มาเป็น 12,778 ล้านบาทต่อวัน ในงวดเดียวกันของปี 2552 หรือลดลง 35.3 % ส่วนรายได้ค่าธรรมเนียมเพิ่มขึ้น จากการเพิ่มขึ้นของรายได้จากการให้บริการเป็นที่ปรึกษาทางการเงิน ส่วนกำไรจากการซื้อขายหลักทรัพย์ลดลง
นางสาววรางคณา วสุวานิช ผู้บังคับบัญชาสายงานการเงิน บริษัทหลักทรัพย์ พัฒนสิน จำกัด (มหาชน) ( CNS ) แจ้งผลการดำเนินงานไตรมาส3 สิ้นสุด 31 พฤษภาคม 2552 ก่อนสอบทานโดยผู้สอบบัญชี ว่าบริษัทมีกำไรสุทธิ 16.85 ล้านบาท ลดลงจากงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 42.51 ล้านบาท หรือลดลง 25.66 ล้านบาท คิดเป็นลดลง 60.32% ส่วนกำไรสุทธิต่อหุ้นลดจาก 0.59 บาท เหลือ0.24 บาทในไตรมาส 3 ปีนี้
โดยบริษัทมีรายได้ค่านายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์และสัญญาซื้อขายล่วงหน้า ลดลง 22.28 ล้านบาท หรือ 15.9 % ส่วนใหญ่เป็นผลมาจากการลดลงของมูลค่าซื้อขายหลักทรัพย์ของตลาดโดยรวมจากเฉลี่ยประมาณ 20,249 ล้านบาทต่อวัน ในไตรมาสที่ 3 ของปี 2551 มาเป็น 15,732 ล้านบาทต่อวัน ในไตรมาสเดียวกันของปี 2552 หรือลดลง 22.3%
ขณะที่มีรายได้ค่าธรรมเนียมและบริการเพิ่มขึ้นรวม 47.62 ล้านบาท เนื่องจากการเพิ่มขึ้นของรายได้จากการให้บริการเป็นที่ปรึกษาทางการเงิน และกำไรจากการซื้อขายหลักทรัพย์ลดลง 6.86 ล้านบาท เนื่องจากในไตรมาสที่ 3 ของปี 2551 บริษัท ๆ มีกำไรจากการขายเงินลงทุนทั่วไปประมาณ 5.62 ล้านบาท ในขณะที่ไตรมาสเดียวกันของปี 2552 บริษัทๆมีผลขาดทุนจากการขายเงินลงทุนในหลักทรัพย์เผื่อขายตราสารทุนประมาณ 1.67 ล้านบาท
ส่วนรายได้อื่น ๆ ลดลงรวม 21.24 ล้านบาท ซึ่งส่วนใหญ่เป็นการลดลงของเงินปันผลและดอกเบี้ยรับ และดอกเบี้ยเงินให้กู้ยืมเพื่อซื้อหลักทรัพย์ เนื่องจากการลดลงของอัตราดอกเบี้ยท้องตลาด ขณะที่ค่าใช้จ่ายรวมเพิ่มขึ้น 33.66 ล้านบาท ปัจจัยหลักมาจากการเพิ่มขึ้นของค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับพนักงานจำนวน 38.26 ล้านบาท เนื่องจากการให้บริการการเป็นที่ปรึกษาทางการเงิน ในขณะที่ค่าใช้จ่ายอื่นๆลดลง 4.60 ล้านบาท และภาษีเงินได้นิติบุคคลของบริษัทฯ ลดลง 10.75 ล้านบาท ซึ่งเป็นผลมาจากการลดลงของรายได้ดังกล่าวข้างต้น
ขณะที่งวด 9 เดือน บริษัทมีรายได้ค่านายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์และสัญญาซื้อขายล่วงหน้า ลดลง 127.51 ล้านบาท หรือ 28.5 % ส่วนใหญ่เป็นผลมาจากการลดลงของมูลค่าซื้อขายหลักทรัพย์ของตลาดโดยรวมจากเฉลี่ยประมาณ 19,735 ล้านบาทต่อวัน ในงวด 9 เดือนแรกของปี 2551 มาเป็น 12,778 ล้านบาทต่อวัน ในงวดเดียวกันของปี 2552 หรือลดลง 35.3 % ส่วนรายได้ค่าธรรมเนียมเพิ่มขึ้น จากการเพิ่มขึ้นของรายได้จากการให้บริการเป็นที่ปรึกษาทางการเงิน ส่วนกำไรจากการซื้อขายหลักทรัพย์ลดลง