xs
xsm
sm
md
lg

เงินนอกทะลักเข้าเอเชีย-ต่างชาติเชื่อมั่นศก.ฟื้นตัวเร็ว

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

“ธีระชัย” ชี้สาเหตุเม็ดเงินทะลักเข้าไทย เพราะนักลงทุนต่างชาติเชื่อมั่นเศรษฐกิจในประเทศแถบเอเชียมีโอกาสฟื้นตัวเร็วกว่าภูมิภาคอื่น แต่ความไม่ชัดเจนของการฟื้นตัวสร้างความกังวลจนเกิดแรงเทขายและความผันผวนต่อตลาดหุ้น ย้ำรัฐบาลต้องใช้จ่ายอย่างรอบคอบ เพื่อผลดีในระยะยาว ส่วนกรณีอดีตเลขาธิการกบข. ระบุเร่งสอบข้อมูลซื้อขายย้อนหลัง หากพบความผิดเข้าข่ายก็พร้อมดำเนินการ ด้าน “ภัทรียา”เตือนรายย่อยพิจารณาให้รอบคอบก่อนลงทุน ขณะที่ “ซิตี้คอร์ป”เตรียมปรับเป้าดัชนีใหม่ โอดหุ้นไทยแพงเกินราคาพื้นฐาน พร้อมเชื่อต่างชาติไม่ทิ้ง แต่เข้าเร็วออกเร็ว

นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล เลขาธิการ สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) กล่าวว่า จากการหารือกับนักลงทุน และผู้บริหารกองทุนต่างประเทศ ทุกรายมีความเห็นในทิศทางเดียวกันว่าเศรษฐกิจในประเทศแถบเอเซีย จะมีการฟื้นตัวได้รวดเร็วกว่าประเทศในแถบตะวันตกทำให้นักลงทุนและกองทุน ต่างประเทศให้ความสนใจเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นเกิดใหม่ และมีเม็ดไหลเข้าในภูมิภาคนี้มากขึ้น

อย่างไรก็ตาม จากการที่เศรษฐกิจในภูมิภาคเอเซีย ยังไม่มีการฟื้นตัวที่ชัดเจน จึงทำให้นักลงทุนอาจมีความกังวลบ้าง ส่งผลให้ตลาดหุ้นช่วงนี้จะมีความผันผวนสูงกว่าปกติ

ส่วนกรณีที่รัฐบาลประเทศต่างๆเริ่มมีการชะลอการกระตุ้นเศรษฐกิจ นั้น นายธีระชัย กล่าว่า ที่ผ่านมารัฐบาลทุกประเทศมีการอัดฉีดเม็ดเงินเพื่อที่จะกระตุ้นเศรษฐกิจ ซึ่งจะส่งผลดีทำให้นักลงทุนมีความมั่นใจมากขึ้นและทำให้มีเม็ดเงินบางส่วนเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้น เช่นกัน

สำหรับในระยะยาวรัฐบาลประเทศต่างๆจะต้องให้ความสำคัญ และระมัดระวังในเรื่องการใช้จ่ายมากขึ้น เพราะ เงินที่นำมาใช้จ่ายขณะนี้หากเป็นการกู้ยืมเงิน ในอนาคตจะต้องมีการหาเงินมาใช้คืนกับเงินที่จ่ายไปในขณะนี้ เช่น การเก็บภาษี ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องที่ดีของรัฐบาลประเทศขนาดใหญ่ที่เริ่มมีความคิดระมัดระวังในการใช้จ่ายมากขึ้น แต่ก็ไม่ควรมากเกินไปเพื่อไม่ให้ส่งผลกระทบต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ

***ก.ล.ต.ย้อนข้อมูลเทรดอดีตเลขากบข.
นายธีระชัย กล่าวว่า การตรวจสอบการใช้ข้อมูลภายใน (insider trading) ของนายวิสิฐ ตันติสุนทร อดีตเลขาธิการกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (กบข.) นั้น ทาง ก.ล.ต. จะย้อนดูข้อมูลการซื้อขายในอดีต ของนายวิสิฐ เฉพาะช่วงที่มีผลต่อการสอบอินไซด์ก่อน เพื่อเร่งผลการตรวจสอบออกมาให้ได้เร็วที่สุด และหลังจากนั้นก็จะมีการตรวจสอบการซื้อขายช่วงอื่นเพิ่มเติม เนื่องจากการสอบสวนของ ก.ล.ต. ไม่จำเป็นต้อง สรุปผลพร้อมกับคณะสอบวินัย ที่ต้องสรุปผลส่งคณะกรรมการ กบข. ภายในสิ้นเดือนนี้

แต่หากพบความผิดปกติจริงในกรณีการใช้ข้อมูลภายในนั้น จะมีโทษปรับเป็น 2 เท่าของมูลค่าผลประโยชน์ที่เกิดขึ้น โดยหากมีการยอมรับ และมีการเสียค่าปรับก็ไม่จำเป็นที่ต้องส่งฟ้องศาลเพื่อเป็นคดีอาญาต่อไป ส่วนการขึ้นบัญชีดำนายวิสิฐ นั้น เนื่องจาก กบข.ไม่ได้อยู่ภายใต้อำนาจการดูแลของ ก.ล.ต. จึงไม่มีสิทธิ์ แต่หากนายวิสิฐเข้ามานั่งเป็นกรรมการในบริษัทจดทะเบียนหรือเป็นผู้บริหารในบริษัทหลักทรัพย์ และบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ถือว่าอยู่ภายใต้การดูแลของ ก.ล.ต. ก็ต้องมาพิจารณากันอีกครั้ง

“การตรวจสอบกรณีกบข.นั้น กรอบการตรวจสอบจะอยู่ที่กรณีการใช้ข้อมูลภายในเพียงเรื่องเดียว เมื่อมีการกระทำความผิดเกิดขึ้น ก.ล.ต.ก็จะมีการพิจารณาว่าการกระทำผิดเรื่องนั้นๆเข้าข่ายความผิดตามพรบ.หลักทรัพย์และและตลาดหลักทรัพย์ หรือไม่ ถ้าไม่ผิด พรบ.หลักทรัพย์ ก็จะดูต่อว่าผิดเรื่องจรรยาบรรณหรือไม่ ซึ่ง หากมีความผิดในเรื่องจรรยาบรรณ ก.ล.ต.ก็จะมีการลงโทษทางวินัย มีการตัดเตือน พักงานหรือ ถอนใบอนุญาต” นายธีระชัย กล่าว

***แปรรูปตลท.เดินหน้า
นายธีระชัย กล่าวถึงความคืบหน้ากรณีการแปรรูปตลาดหลักทรัพย์ ว่า ขณะนี้ร่างกฎหมายการแก้ไขกฎหมายหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ได้มีการส่งให้กระทรวงการคลังแล้ว ซึ่งตอนนี้อยู่ในช่วงกระบวนการพิจารณาของรัฐบาลที่จะต้องเดินหน้าต่อ อย่างไรก็ตามการแปรรูปตลาดหลักรัพย์นั้นไม่ควรที่จะมองในด้านของการระดมทุนเท่านั้น แต่ควรที่จะมองในภาพของการบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพ และสามารถแข่งขันได้ และสามารถที่จะเชื่อมโยงกับตลาดหุ้นต่างประเทศ ได้ด้วยเช่น

***บล.ลดทุนไม่กระทบเอ็นซีอาร์
นายธีระชัย กล่าวว่า ในช่วงที่ผ่านมาก.ล.ต.ได้มีการอนุมัติให้บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) มีการลดทุนจดทะเบียนไปแล้วจำนวน 2- 3 แห่ง เนื่องจาก บล.มีอัตราส่วนเงินกองทุนสภาพคล่องสุทธิ (NCR)ที่สูงกว่าเกณฑ์ที่ก.ล.ต.กำหนดไว้ที่ไม่น้อยกว่า 7% ของหนี้สินทั่วไป และเมื่อบล.มีการลดทุนแล้วก็ไม่ทำให้NCR ปรับตัวลดลงเท่ากับเกณฑ์ แต่จะสูงกว่าเกณฑ์อยู่ที่ประมาณ 15-20%

*** เตือนรายย่อยระวังความผันผวน
นางภัทรียา เบญจพลชัย กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย(ตลท.) กล่าวว่า ภาพรวมตลาดหุ้นไทย ยังคงเคลื่อนไหวตามตลาดโลก โดยเฉพาะตลาดสหรัฐฯ รวมถึงตลาดยุโรป ที่มีแนวโน้มไปทางเดียวกัน ซึ่งปัจจัยสำคัญที่มีผลต่อการลงทุนในขณะนี้ นักลงทุนจะให้น้ำหนักที่เศรษฐกิจโลกเป็นหลัก โดยข้อมูลขณะนี้บอกได้ว่าเศรษฐกิจจะไม่ตกต่ำไปกว่านี้แล้ว อย่างไรก็ตาม ความผันผวนในตลาดหุ้นเองยังมีอยู่ เห็นได้จากสัปดาห์ที่ผ่านมามีปรับตัวลดลงถึง 6% ซึ่งเป็นการปรับลงค่อนข้างแรงและเร็ว ก่อนจะปรับขึ้นมาอีกครั้ง 3% ดังนั้น ความผันผวนที่เกิดขึ้นดังกล่าว นักลงทุนต้องศึกษาข้อมูลการลงทุนในรอบคอบและต้องติดตามการเคลื่อนไหวของเงินทุนอย่างใกล้ชิด

ส่วน กรณีเงินทุนต่างชาติที่ไหลเข้ามาในตลาดหุ้นไทย นางภัทรียา กล่าวว่า ถือว่ายังไม่มากนัก เพราะส่วนหนึ่งมีเม็ดเงินที่ไหลเข้าประเทศอื่นๆ ในภูมิภาคด้วย โดยปัจจุบันมีเงินทุนไหลเข้าตลาดหุ้นไทยแล้วประมาณ 20,000 ล้านบาท จากการซื้อสุทธิของนักลงทุนต่างชาติ ซึ่งหากเทียกับยอดขายสุทธิกว่า 1.6 แสนล้านบาทในปีที่ผ่านมา ถือว่ายังไม่มากนัก

"จากการหารือร่วมกันระหว่างตลาดอื่นๆในภูมิภาค เห็นเป็นเรื่องเดียวกันว่า เงินทุนไหลเข้าในขณะนี้จะเข้าเร็วออกเร็ว ส่วนจะมากหรือน้อย ก็ขึ้นอยู่กับความน่าสนใจและสินค้าของประเทศนั้น ซึ่งเงินลงทุนเหล่านี้ จะมีการโยกย้ายไปหาแหล่งลงทุนที่ให้ผลตอบแทนสูงไปเรื่อยๆ"นางภัทรียากล่าว

****“ซิตี้คอร์ป”เล็งปรับเป้าดัชนีใหม่
ม.ล.ทองมงกุฎ ทองใหญ่ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ซิตี้คอร์ป (ประเทศไทย) จำกัด และในฐานะนายกสมาคมบริษัทหลักทรัพย์ต่างประเทศ เปิดเผยว่า จากการที่ตลาดหุ้นมีความผันผวน โดยเฉพาะในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาที่มีแรงขายออกมามากนั้นถือเป็นเรื่องปกติ เพราะอาจจะมีแรงซื้อเข้ามานานติดต่อกัน ทำให้มีแรงขายเป็นช่วงๆ แต่ยังไม่เชิงว่านักลงทุนต่างชาติจะทิ้งหุ้นไทย เพราะสัดส่วนนักลงทุนต่างชาติในปัจจุบันอยู่ที่ประมาณ 15 – 20% โดยในช่วงครึ่งปีหลังเชื่อว่าปริมาณการซื้อขายของนักลงทุนจากต่างชาติจะดีขึ้น

“ช่วงนี้การเข้าหรืออกจากการลงทุนของนักลงทุนต่างชาติ ส่วนใหญ่พิจารณาจากค่าเงินดอลลาร์สหรัฐที่มีความผันผวน ซึ่งหากค่าเงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้นก็จะทำให้นักลงทุนอาจจะถอนเงินคืนเพื่อกลับไปลงทุนสหรัฐฯ แต่หากว่าอ่อนค่าลง ก็จะทำให้เม็ดเงินจากสหรัฐฯไหลออกมาไปลงทุนอื่นๆ เช่น น้ำมัน ทองคำ หรือหุ้น”

ขณะที่แนวโน้มตลาดหุ้นไทยนั้น มล.ทองมงกุฎ กล่าวว่า ดัชนีได้ปรับเพิ่มขึ้นเกินปัจจัยฟื้นฐานแล้ว และราคาหุ้นก็แพงขึ้นกว่าราคาปัจจัยพื้นฐาน โดยในช่วงที่ผ่านมาในได้ปรับน้ำหนักการลงทุนในหุ้นกลุ่มธนาคาร เพราะการขยายตัวของสินเชื่อยังค่อนข้าลำบาก และจากเดิมช่วงก่อนหน้านี้บริษัทได้ประเมินดัชนีสิ้นปีอยู่ที่ 550 จุด แต่คาดว่าในเร็วๆนี้ จะมีการปรับการคาดการณ์ดังกล่าวใหม่อีกครั้ง โดยพิจารณาถึงปัจจัยพื้นฐานกับสภาพคล่องที่มีในตลาด เพราะหากว่าเม็ดเงินจากนักลงทุนไหลเข้ามาก็จะทำให้หุ้นขึ้นได้ จึงถือว่าสภาพคล่องในตลาดเป็นตัวช่วยขับเคลื่อนดัชนี

ทั้งนี้ มองว่า เศรษฐกิจในปัจจุบันยังไม่ได้ปรับตัวดีขึ้นมากขึ้น และการปรับตัวน่าจะเป็นไปในลักษณะรูปตัวยู ซึ่งในไตรมาส 4 เศรษฐกิจอาจจะดีขึ้นและมีเม็ดเงินไหลเข้ามา จากแผนกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล แต่จะมากขนาดไหนนั้นยังยากที่จะประเมินได้
กำลังโหลดความคิดเห็น