xs
xsm
sm
md
lg

ผู้จัดการกองทุนเตือน ชี้หุ้นพุ่งแรงเสี่ยงลงแรง

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ผู้จัดการกองทุนห่วงดัชนีหุ้นดิ่ง หลังกระแสเงินไหลเข้าดันดัชนีพุ่งไม่หยุด จนหุ้นไทยแรงเกินพื้นฐาน ชี้ระดับเหมาะสมอยู่ที่ 550 จุด ระบุปีหน้าความเสี่ยงสูง ท่ามกลางเศรษฐกิจฟื้นตัว ก่อนชูกลยุทธ์เลือกลงทุนหุ้นปันผลดี กระแสเงินสดสูง หลีกเลี่ยงความเสี่ยง เผยหลายกองทุนเข้าไม่ทัน กอดเงินสดแทน หวั่นโดดเข้าแล้วติดดอย

นายประภาส ตันพิบูลย์ศักดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) อยุธยา จำกัด เปิดเผยว่า บรรยากาศการลงทุนในตลาดหุ้นไทยในขณะนี้ น่าเป็นห่วงว่า หากดัชนียังปรับขึ้นไปไม่หยุดจากกระแสเงินลงทุนไหลเข้ามา จะทำให้ปีหน้ามีโอกาสที่ดัชนีจะดิ่งลงอีกครั้ง ถึงแม้ว่าถึงเวลานั้นเศรษฐกิจจะฟื้นตัวแล้วก็ตาม ซึ่งจากการติดตามความเคลื่อนไหวของดัชนีหุ้นไทยในช่วงเวลานี้ ยังไม่มีการหยุดพักฐาน แม้จะผ่านระดับ 600 จุดไปแล้ว เพราะโดยปกติ ตลาดหุ้นไทยจะมีการปรับฐานทุกครั้งที่ดัชนีปรับเพิ่มขึ้นมาที่ละ 100 จุด หรือหากมีการปรับขึ้นต่อต่อกันเกิน 3 เดือน ก็จะหยุดพักฐาน 1 ครั้ง ดังนั้น หากการปรับขึ้นในครั้งนี้ไม่มีการหยุดพักฐาน จะทำให้ปีหน้าดัชนีหุ้นจะปรับลดลง ทั้งนี้ หากมีการปรับฐาน มองว่าการปรับฐานดังกล่าวน่าจะอยู่ที่ระดับ 10-15% จากระดับดัชนี 600 จุดในปัจจุบัน

อย่างไรก็ตาม จากการที่เงินทุนต่างชาติยังไหลเข้ามาลงทุนในภูมิภาคเอเชีย รวมถึงไทยอย่างต่อเนื่อง ทำให้ดัชนียังปรับขึ้นไปต่อ ซึ่งเงินลงทุนที่ไหลเข้าตลาดหุ้นไทยเอง ถือว่ายังน้อยมากเมื่อเทียบกับตลาดอื่นๆ ในภูมิภาคเดียวกัน ทั้งนี้ ปัจจัยสำคัญ น่าจะเป็นแรงกดดันจากปัญหาการเมืองในประเทศ ซึ่งทำให้นักลงทุนบ่างส่วนไม่มั่นใจเข้ามาลงทุนในประเทศไทย
"ตอนนี้ดัชนีหุ้นไทยได้ผ่านระดับ 500 จุด ขึ้นมาอยู่ที่ 600 จุดแล้ว ซึ่งโดยปกติแล้วน่าจะมีการหยุดพักฐาน แต่สุดท้ายกลับไม่หยุด ซึ่งหากหลังจากนี้ ดัชนียังปรับขึ้นไปอีกไม่หยุด ก็มีโอกาสที่ดัชนีจะปรับลงแรงเช่นเดียวกัน"นายประภาสกล่าว

ทั้งนี้ การที่เงินลงทุนจากต่างชาติไหลเข้ามามาในตลาดหุ้นไทยอย่างต่อเนื่องในช่วงที่ผ่านมา ทำให้ดัชนีหุ้นไทยปรับขึ้นไปเกินกว่าพื้นฐานที่ควรจะเป็น เพราะเป็นการปรับขึ้นจากการคาดการณ์ล่วงหน้าของนักลงทุนว่าทุกอย่างจะเริ่มดีขึ้น ซึ่งในขณะนี้มองว่าระดับดัชนีที่ 550 จุด น่าจะเป็นระดับที่เหมาะสมกับพื้นฐานในปัจจุบันมากกว่า อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าหลังจากนี้ ดัชนีน่าจะปรับฐานลงมาที่ระดับดังกล่าวอีกครั้ง นอกจากนี้ อาจจะเห็นการขายทำกำไรในหุ้นกลุ่มหนึ่ง แล้วไปลงทุนในหุ้นอีกหลุ่มหนึ่งแทน

นายประภาสกล่าวว่า การลงทุนในตลาดหุ้นไทยขณะนี้ ไม่สามารถใช้ P/E ในการตัดสินใจลงทุนได้ ถึงแม้ว่าขณะนี้ ค่า P/E ของตลาดหุ้นไทยจะเพิ่มขึ้นเป็น 20 เท่า แต่ก็ยังมีบางเซกเตอร์ที่ยังไม่ถึง เช่น หุ้นกลุ่มปิโตรเคมี ที่ยังมีค่า P/E ต่ำอยู่ ดังนั้น การใช้การคาดการณ์กำไรในการตัดสินใจลงทุนน่าจะเหมาะสมกว่าในจังหวะเช่นนี้

ทั้งนี้ ความผันผวนที่เกิดขึ้นดังกล่าวทำให้ผู้จัดการกองทุนต้องติดตามพอร์ตการลงทุนของกองทุนหุ้นอย่างใกล้ชิด ซึ่งกลยุทธ์การลงทุนในช่วงนี้ จะต้องเน้นการเลือกหุ้นที่จะเข้าไปลงทุนให้ดี โดยกลยุทธ์การลงทุนของเราเอง ยังให้ความสำคัญกับหุ้นที่มีอัตราการจ่ายปันผลดี และมีกระแสเงินสดสูงๆ เพราะหุ้นกลุ่มนี้จะได้ประโยชน์ในช่วงที่เศรษฐกิจปรับตัวดีขึ้น และถึงแม้ว่าการลงทุนในหุ้นกลุ่มดังกล่าว จะไม่ทำให้ผลตอบแทนของกองทุนหวือหวาเหมือนกองทุนดัชนี ที่ให้ผลตอบแทนสูงตามการปรับขึ้นของดัชนี แต่ในจังหวะที่ดัชนีปรับลดลง ก็จะไม่ทำให้ผลตอบแทนของกองทุนลดลงมากเหมือนกันทุนดัชนีเช่นเดียวกัน

"หากมองถึงผลตอบแทนตั้งแต่ช่วงต้นปีที่ผ่านมา กองทุนหุ้นที่ล้อไปกับดัชนี จะเป็นกองทุนที่ให้ผลตอบแทนดี เนื่องจากดัชนีหุ้นไทยปรับขึ้นไปค่อนข้างสูง ส่วนกองทุนหุ้นที่มีนโยบายการบริหารแบบ Active อาจจะให้ผลตอบแทนน้อยกว่า เนื่องจากกองทุนส่วนใหญ่เข้าไม่ทัน เพราะประเมินพื้นฐานของตลาดมากกว่า แต่บรรยากาศการลงทุนในตลาดหุ้นไทยขณะนี้ ส่วนใหญ่ได้อานิสงส์จากเงินลงทุนไหลเข้ามากกว่า"นายประภาสกล่าว

เขากล่าวต่อว่า พอร์ตการลงทุนในกองทุนหุ้นของเอวายเอฟในปัจจุบัน มีสัดส่วนการถือเงินสดอยู่ประมาณ 4-5% ซึ่งถือว่าค่อนข้างเป็นการลงทุนเต็มที่แล้ว อย่างไรก็ตาม กองทุนหุ้นในตลาดบางกอง ยังคงสัดส่วนการถือเงินสดเอาไว้ค่อนข้างมาก เนื่องจากยังไม่กล้าเข้าไปลงทุน เพราะส่วนหนึ่งยังมองว่า ดัชนีมีโอกาสปรับฐานลงมาอีกครั้ง ซึ่งหากเข้าไปลงทุนตอนนี้ อาจจะเป็นการลงทุนในราคาที่สูงเกินไป
กำลังโหลดความคิดเห็น