ผู้จัดการกองทุน ชี้ “น้ำมัน-คอมมอดิตี” ปัจจัยกระตุ้นดอกเบี้ยขาขึ้น ระบุหากราคาปรับตัวแพงขึ้น เงินเฟ้อตามมาทันที เตือนล็อกเงินลงทุนเอาไว้ 1 ปี อาจมีความเสี่ยง เสียโอกาสดอกเบี้ยขยับ พร้อมประเมินตลาดตราสารหนี้ ยังผันผวน ปัจจัยลบต่างประเทศยังกดดัน ชงกองทุนมันนี่มาร์เกตลงทุนได้ แต่ผลตอบแทนต่ำตามตลาด ด้านเอ็มเอฟซี เปิดทางลูกค้าให้เงินหาผลตอบแทน มีเงินแค่ 100 บาท ก็ลงทุนมันนี่มาร์เกตได้
นายอาสา อินทรวิชัย ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายการลงทุนตราสารหนี้ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) อยุธยา จำกัด เปิดเผยว่า แนวโน้มอัตราดอกเบี้ยในประเทศหลังจากนี้ เชื่อว่าธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จะประคองให้ทรงตัวอยู่ในระดับ 1.25% เช่นนี้ต่อไป หลังจากการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ครั้งล่าสุด ได้คงอัตราดอกเบี้ยเอาไว้ที่ระดับเดิม ยกเว้นมีปัจจัยลบที่อาจจะส่งผลต่อเศรษฐกิจเข้ามา อาจจะทำให้ ธปท.มีความจำเป็นต้องปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงไปอีก อย่างไรก็ตาม หากพิจารณาดูเงินเฟ้อเองก็ยังไม่เห็นสัญญาณการปรับขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยยังติดลบอยู่ต่อเนื่องในช่วง 3-4 เดือนที่ผ่านมา ดังนั้น การปรับขึ้นดอกเบี้ย ก็จะยังไม่เห็นในเร็วนี้เช่นกัน
ทั้งนี้ เชื่อว่า ปัจจัยเรื่องเงินเฟ้อ เป็นปัจจัยที่ ธปท.ให้ความเป็นห่วงเช่นกัน เพราะถ้าหากราคาน้ำมันปรับตัวเพิ่มขึ้นมา รวมถึงราคาสินค้าโภคภัณฑ์ (คอมมอดิตี) ปรับเพิ่มขึ้นมา ก็จะทำให้อัตราเงินเฟ้อกัลบมาอีกครั้ง โดยความเสี่ยงดังกล่าว อาจจะส่งผลให้เงินลงทุนที่ล็อกอายุเอาไว้ 1 ปี อาจจะมีความเสี่ยง เพราะหากเงินเฟ้อกลับมา การใช้นโยบายการเงินด้วยการปรับขึ้นดอกเบี้ยก็จะตามมา
“ถ้าราคาน้ำมัน รวมถึงราคาสินค้าคอมมอดิตีปรับเพิ่มขึ้นมา แน่นอนว่าตัวเลขเงินเฟ้อก็จะกลับขึ้นมาเร็วด้วย ซึ่งหากมีการเปลี่ยนแปลงรวดเร็ว ทางการก็อาจจะขานรับเร็วด้วยการปรับขึ้นดอกเบี้ย ดังนั้น หากล็อกเงินลงทุนเอาไว้ 1 ปี อาจจะทำให้นักลงทุนเสียโอกาสจากการที่อัตราดอกเบี้ยปรับเพิ่มขึ้นได้” นายอาสา กล่าว
อย่างไรก็ตาม ขณะนี้สัญญาณของการปรับเพิ่มขึ้นของราคาน้ำมัน รวมถึงราคาสินค้าคอมมอดิตี ยังเห็นไม่ชัดเจน เป็นเพียงความเสี่ยงเท่านั้น ซึ่งหากนักลงทุนที่ต้องการล็อกเงินลงทุนเอาไว้เพื่อรับผลตอบแทนที่ยังดีอยู่ในช่วงนี้ ก็ยังสามารถลงทุนได้
นายอาสา กล่าวต่อถึงแนวโน้มตลาดตราสารหนี้ ว่า ปัจจุบันตลาดตราสารหนี้กลับมาผันผวนอีกครั้ง โดยเฉพาะในต่างประเทศ ซึ่งเป็นปัจจัยที่ส่งผลต่อเนื่องมาถึงตลาดตราสารหนี้ในประเทศไทยด้วย ทั้งนี้ ความผันผวนดังกล่าวเกิดขึ้นจากแผนในการรับซื้อคืนพันธบัตรของสหรัฐฯ ไม่เป็นไปตามแผน เนื่องจากมีความกังวลเรื่องเครดิตเรตติ้งของประเทศ และมีความเป็นห่วงว่าสหรัฐฯ จะมีภาระหนี้สูงทำให้เม็ดเงินที่จะออกไปซื้อพันธบัตรมีน้อยลง ซึ่งไม่เป็นไปตามความคาดหวังของนักลงทุน ดังนั้น จึงกดดันให้อัตราดอกเบี้ยพันธบัตรรัฐบาลระยะยาวปรับตัวเพิ่มขึ้น โดยดอกเบี้ยพันธบัตรอายุ 10 ปีของสหรัฐปรับเพิ่มขึ้นจาก 3.0-3.2% เป็น 3.7%
ทั้งนี้ ความผันผวนดังกล่าวได้ส่งผลต่อเนื่องจากตลาดตราสารหนี้ในประเทศไทยด้วย โดยเฉพาะพันธบัตรระยะยาว ส่วนพันธบัตรระยะสั้น ยังไม่มีการเปลี่ยนแปลงมาก หลังจากธปท. คงอัตราดอกเบี้ยอาร์/พี ไว้ที่ 1.25% ซึ่งส่งผลให้ผลตอบแทนของกองทุนรวมตลาดเงิน (มันนี่มาร์เกต) ยังไม่ปรับลดลงไปมาก ซึ่งปัจจุบันอยู่ในระดับ 0.9-1.0% แต่ที่ยังเห็นกองทุนมันนี่มาร์เกตยังให้ผลตอบแทนได้สูงอยู่ เนื่องจากบางกองทุนยังมีพันธบัตรของเก่าซึ่งให้ผลตอบแทนสูงรวมอยู่ด้วย
อย่างไรก็ตาม จะเห็นว่า อัตราดอกเบี้ยที่ลดลงอย่างต่อเนื่องในช่วงที่ผ่านมา ส่งผลให้กองทุนที่ลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลอายุสั้นๆ ไม่มีออกมาแล้ว เนื่องจากผลตอบแทนไม่เป็นที่จูงใจ หากเทียบกับกองทุนตราสารหนี้ต่างประเทศที่ออกมาเป็นจำนวนมากในปัจจุบัน
นายพิชิต อัคราทิตย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) เอ็มเอฟซี จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า กองทุนมันนี่มาร์เกตยังเป็นกองทุนที่สามารถลงทุนได้ต่อเนื่อง ซึ่งในภาวะปกติผลตอบแทนของกองทุนดังกล่าวจะสูงกว่าเงินฝากอยู่แล้ว ไม่ว่าอัตราดอกเบี้ยในตลาดจะปรับขึ้นหรือลง เพราะยังมีส่วนต่างผลตอบแทยอยู่ ขณะเดียวกัน ยังไม่ต้องเสียภาษี 15% เหมือนเงินฝากด้วย ซึ่งกองทุนมันนี่มาร์เกตมีวัตถุประสงค์อยู่ 2 อย่างคือ เป็นช่องทางออมเงินที่มีความใกล้เคียงกับเงินฝาก และอำนวยความสะดวกให้กับนักลงทุนที่ต้องการสภาพคล่อง เนื่องจากกองทุนดังกล่าวสามารถซื้อขายได้ทุกวัน
ทั้งนี้ เพื่ออำนวยความสะดวกอันจะเป็นประโยชน์ต่อผู้ถือหน่วยลงทุน บริษัทในฐานะบริษัทจัดการของกองทุนเปิดเอ็มเอฟซี พันธบัตรตลาดเงิน (MM-GOV) ได้เปลี่ยนแปลงมูลค่าขั้นต่ำของการสั่งซื้อครั้งแรกของกองทุนจาก 10,000 บาท เป็น 100 บาท และมูลค่าขั้นต่ำของการสั่งซื้อครั้งถัดไปจาก 1,000 บาท เป็นไม่กำหนดมูลค่าการสั่งซื้อ โดยการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวจะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันนี้
นายพิชิต กล่าวว่า การลดมูลค่าขั้นต่ำของการสั่งซื้อครั้งแรกดังกล่าว เป็นการอำนวยความสะดวกให้กับนักลงทุนกับกองทุนอื่นของเราในการนำเงินเข้าออก หรือช่วงเปลี่ยนผ่านระหว่างกองทุนเพื่อนำเงินมากพักไว้ในกองทุนมันนี่มารเกตก่อน ซึ่งจะทำให้เงินของลูกค้าทำงานอยู่ตลอดเวลาโดยไม่เสียผลประโยชน์
ปัจจุบัน บลจ.เอ็มเอฟซี มีกองทุนมันนี่มาร์เกตภายใต้การบริหารจำนวน 2 กองทุน ประกอบด้วย กองทุนเปิดเอ็มเอฟซี พันธบัตรตลาดเงิน และกองทุนเอ็มเอฟซี มันนี แมเนจเมนท์ (MMM) โดยกองทุนเปิดเอ็มเอฟซี พันธบัตรตลาดเงิน มีนโยบายลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลอายุไม่เกิน 1 ปีล้วนๆ ส่วนกองทุนเปิดเอ็มเอฟซี มันนี แมเนจเมนท์ จะกระจายลงทุนในพันธบัตรรัฐบาล รวมถึงเงินฝากและตราสารหนี้เอกชนคุณภาพดี
นายอาสา อินทรวิชัย ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายการลงทุนตราสารหนี้ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) อยุธยา จำกัด เปิดเผยว่า แนวโน้มอัตราดอกเบี้ยในประเทศหลังจากนี้ เชื่อว่าธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จะประคองให้ทรงตัวอยู่ในระดับ 1.25% เช่นนี้ต่อไป หลังจากการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ครั้งล่าสุด ได้คงอัตราดอกเบี้ยเอาไว้ที่ระดับเดิม ยกเว้นมีปัจจัยลบที่อาจจะส่งผลต่อเศรษฐกิจเข้ามา อาจจะทำให้ ธปท.มีความจำเป็นต้องปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงไปอีก อย่างไรก็ตาม หากพิจารณาดูเงินเฟ้อเองก็ยังไม่เห็นสัญญาณการปรับขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยยังติดลบอยู่ต่อเนื่องในช่วง 3-4 เดือนที่ผ่านมา ดังนั้น การปรับขึ้นดอกเบี้ย ก็จะยังไม่เห็นในเร็วนี้เช่นกัน
ทั้งนี้ เชื่อว่า ปัจจัยเรื่องเงินเฟ้อ เป็นปัจจัยที่ ธปท.ให้ความเป็นห่วงเช่นกัน เพราะถ้าหากราคาน้ำมันปรับตัวเพิ่มขึ้นมา รวมถึงราคาสินค้าโภคภัณฑ์ (คอมมอดิตี) ปรับเพิ่มขึ้นมา ก็จะทำให้อัตราเงินเฟ้อกัลบมาอีกครั้ง โดยความเสี่ยงดังกล่าว อาจจะส่งผลให้เงินลงทุนที่ล็อกอายุเอาไว้ 1 ปี อาจจะมีความเสี่ยง เพราะหากเงินเฟ้อกลับมา การใช้นโยบายการเงินด้วยการปรับขึ้นดอกเบี้ยก็จะตามมา
“ถ้าราคาน้ำมัน รวมถึงราคาสินค้าคอมมอดิตีปรับเพิ่มขึ้นมา แน่นอนว่าตัวเลขเงินเฟ้อก็จะกลับขึ้นมาเร็วด้วย ซึ่งหากมีการเปลี่ยนแปลงรวดเร็ว ทางการก็อาจจะขานรับเร็วด้วยการปรับขึ้นดอกเบี้ย ดังนั้น หากล็อกเงินลงทุนเอาไว้ 1 ปี อาจจะทำให้นักลงทุนเสียโอกาสจากการที่อัตราดอกเบี้ยปรับเพิ่มขึ้นได้” นายอาสา กล่าว
อย่างไรก็ตาม ขณะนี้สัญญาณของการปรับเพิ่มขึ้นของราคาน้ำมัน รวมถึงราคาสินค้าคอมมอดิตี ยังเห็นไม่ชัดเจน เป็นเพียงความเสี่ยงเท่านั้น ซึ่งหากนักลงทุนที่ต้องการล็อกเงินลงทุนเอาไว้เพื่อรับผลตอบแทนที่ยังดีอยู่ในช่วงนี้ ก็ยังสามารถลงทุนได้
นายอาสา กล่าวต่อถึงแนวโน้มตลาดตราสารหนี้ ว่า ปัจจุบันตลาดตราสารหนี้กลับมาผันผวนอีกครั้ง โดยเฉพาะในต่างประเทศ ซึ่งเป็นปัจจัยที่ส่งผลต่อเนื่องมาถึงตลาดตราสารหนี้ในประเทศไทยด้วย ทั้งนี้ ความผันผวนดังกล่าวเกิดขึ้นจากแผนในการรับซื้อคืนพันธบัตรของสหรัฐฯ ไม่เป็นไปตามแผน เนื่องจากมีความกังวลเรื่องเครดิตเรตติ้งของประเทศ และมีความเป็นห่วงว่าสหรัฐฯ จะมีภาระหนี้สูงทำให้เม็ดเงินที่จะออกไปซื้อพันธบัตรมีน้อยลง ซึ่งไม่เป็นไปตามความคาดหวังของนักลงทุน ดังนั้น จึงกดดันให้อัตราดอกเบี้ยพันธบัตรรัฐบาลระยะยาวปรับตัวเพิ่มขึ้น โดยดอกเบี้ยพันธบัตรอายุ 10 ปีของสหรัฐปรับเพิ่มขึ้นจาก 3.0-3.2% เป็น 3.7%
ทั้งนี้ ความผันผวนดังกล่าวได้ส่งผลต่อเนื่องจากตลาดตราสารหนี้ในประเทศไทยด้วย โดยเฉพาะพันธบัตรระยะยาว ส่วนพันธบัตรระยะสั้น ยังไม่มีการเปลี่ยนแปลงมาก หลังจากธปท. คงอัตราดอกเบี้ยอาร์/พี ไว้ที่ 1.25% ซึ่งส่งผลให้ผลตอบแทนของกองทุนรวมตลาดเงิน (มันนี่มาร์เกต) ยังไม่ปรับลดลงไปมาก ซึ่งปัจจุบันอยู่ในระดับ 0.9-1.0% แต่ที่ยังเห็นกองทุนมันนี่มาร์เกตยังให้ผลตอบแทนได้สูงอยู่ เนื่องจากบางกองทุนยังมีพันธบัตรของเก่าซึ่งให้ผลตอบแทนสูงรวมอยู่ด้วย
อย่างไรก็ตาม จะเห็นว่า อัตราดอกเบี้ยที่ลดลงอย่างต่อเนื่องในช่วงที่ผ่านมา ส่งผลให้กองทุนที่ลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลอายุสั้นๆ ไม่มีออกมาแล้ว เนื่องจากผลตอบแทนไม่เป็นที่จูงใจ หากเทียบกับกองทุนตราสารหนี้ต่างประเทศที่ออกมาเป็นจำนวนมากในปัจจุบัน
นายพิชิต อัคราทิตย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) เอ็มเอฟซี จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า กองทุนมันนี่มาร์เกตยังเป็นกองทุนที่สามารถลงทุนได้ต่อเนื่อง ซึ่งในภาวะปกติผลตอบแทนของกองทุนดังกล่าวจะสูงกว่าเงินฝากอยู่แล้ว ไม่ว่าอัตราดอกเบี้ยในตลาดจะปรับขึ้นหรือลง เพราะยังมีส่วนต่างผลตอบแทยอยู่ ขณะเดียวกัน ยังไม่ต้องเสียภาษี 15% เหมือนเงินฝากด้วย ซึ่งกองทุนมันนี่มาร์เกตมีวัตถุประสงค์อยู่ 2 อย่างคือ เป็นช่องทางออมเงินที่มีความใกล้เคียงกับเงินฝาก และอำนวยความสะดวกให้กับนักลงทุนที่ต้องการสภาพคล่อง เนื่องจากกองทุนดังกล่าวสามารถซื้อขายได้ทุกวัน
ทั้งนี้ เพื่ออำนวยความสะดวกอันจะเป็นประโยชน์ต่อผู้ถือหน่วยลงทุน บริษัทในฐานะบริษัทจัดการของกองทุนเปิดเอ็มเอฟซี พันธบัตรตลาดเงิน (MM-GOV) ได้เปลี่ยนแปลงมูลค่าขั้นต่ำของการสั่งซื้อครั้งแรกของกองทุนจาก 10,000 บาท เป็น 100 บาท และมูลค่าขั้นต่ำของการสั่งซื้อครั้งถัดไปจาก 1,000 บาท เป็นไม่กำหนดมูลค่าการสั่งซื้อ โดยการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวจะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันนี้
นายพิชิต กล่าวว่า การลดมูลค่าขั้นต่ำของการสั่งซื้อครั้งแรกดังกล่าว เป็นการอำนวยความสะดวกให้กับนักลงทุนกับกองทุนอื่นของเราในการนำเงินเข้าออก หรือช่วงเปลี่ยนผ่านระหว่างกองทุนเพื่อนำเงินมากพักไว้ในกองทุนมันนี่มารเกตก่อน ซึ่งจะทำให้เงินของลูกค้าทำงานอยู่ตลอดเวลาโดยไม่เสียผลประโยชน์
ปัจจุบัน บลจ.เอ็มเอฟซี มีกองทุนมันนี่มาร์เกตภายใต้การบริหารจำนวน 2 กองทุน ประกอบด้วย กองทุนเปิดเอ็มเอฟซี พันธบัตรตลาดเงิน และกองทุนเอ็มเอฟซี มันนี แมเนจเมนท์ (MMM) โดยกองทุนเปิดเอ็มเอฟซี พันธบัตรตลาดเงิน มีนโยบายลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลอายุไม่เกิน 1 ปีล้วนๆ ส่วนกองทุนเปิดเอ็มเอฟซี มันนี แมเนจเมนท์ จะกระจายลงทุนในพันธบัตรรัฐบาล รวมถึงเงินฝากและตราสารหนี้เอกชนคุณภาพดี