xs
xsm
sm
md
lg

ปูนใหญ่อ่วมกำไรQ1วูบ2พันล.

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

พิษเศรษฐกิจฉุดผลงาน “ปูนใหญ่” ทรุด ไตรมาสแรกกำไรสุทธิ 5 พันล้านบาท ลดจากปีก่อนเกือบ 2 พันล้านบาท หรือ 27% หลังรายได้ยอดขายลดจาก 30% เหตุราคาขายผลิตภัณฑ์ธุรกิจเคมีภัณฑ์และกระดาษวูบ “กานต์” ประกาศหั่นเป้ายอดขายลดจากปีก่อนถึง 25% จากเดิมคาดการณ์ไว้ลดลงแค่ 10% พร้อมให้ความมั่นใจยังสามารถทำกำไรได้ต่อเนื่อง เน้นยอดขายสินค้าและบริการที่มีมูลค่าเพิ่ม-เพิ่มช่องทางส่งออกตลาดต่างประเทศ

นายกานต์ ตระกูลฮุน กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) (SCC) หรือ ปูนใหญ่ เปิดเผยถึง แผนการดำเนินงานในปี 2552 ว่า จากพิษเศรษฐกิจที่ซบเซาทั่วโลกบริษัทต้องปรับแผนธุรกิจทุกเดือน โดยล่าสุดได้ปรับลดประมาณยอดขายในปี 52 จะลดลงประมาณ 20-25% จากเป้าหมายเดิมที่คาดว่าจะลดลงแค่ 10% จากปี 51 ที่มียอดขายรวม 2.5 แสนล้านบาท

โดยสาเหตุที่ต้องปรับประมาณการยอดขายลงนั้น สืบเนื่องจากไตรมาส 1/52 ที่ผ่านมา จากปัญหาเศรษฐกิจชะลอตัวได้ส่งผลให้รายได้รวมอยู่ที่ 55,211 ล้านบาท ลดลงถึง 30% เนื่องจากราคาขายผลิตภัณฑ์ของธุรกิจเคมีภัณฑ์และธุรกิจกระดาษปรับลดลง และคาดว่าผลประกอบการจะอยู่ในระดับนี้ต่อเนื่อง และอาจกลับดีดกลับมาฟื้นตัวอีกครั้งไตรมาสสุดท้ายปีนี้

“ด้านความสามารถในการทำกำไรนั้น บริษัทมั่นจะทำกำไรได้ต่อเนื่อง หลังจากได้แก้ปัญหาการขาดทุนจากปัญหาสินค้าคงคลังเรียบร้อยแล้ว ขณะเดียวกันบริษัทได้เน้นการลดต้นทุนอย่างต่อเนื่อง และประสบสำเร็จอย่างดีจากหลายไตรมาสที่ผ่านมา โดยเฉพาะการลดต้นทุนในธุรกิจเคมีภัณฑ์และธุรกิจกระดาษ โดยล่าสุดบริษัทเปิดโรงกระดาษใหม่ที่ขอนแก่น ที่มีต้นทุนต่ำที่สุดในภูมิภาค” นายกานต์กล่าว

อย่างไรก็ดี บริษัทยอมรับว่า ธุรกิจปิโตรเคมีและกระดาษยังเป็นตัวหลักที่ฉุดรายได้ของบริษัทให้ลดลง และทั้ง 2 ส่วนมีรายได้รวมกันกว่า 60% ของรายได้รวม ดังนั้นเราคงต้องประเมินตัวเลขการลดลงของรายได้เป็น 20-25% เพราะเริ่มเห็นแนวโน้มตั้งแต่ไตรมาส 1 แล้ว กว่าจะฟื้นกลับอีกครั้งก็จะเป็นไตรมาสสุดท้าย
โดยปีนี้ บริษัท เน้นการบริหารแบบลดต้นทุน พร้อมเพิ่มการส่งออกให้มากขึ้นด้วยการขยายตลาดใหม่ ๆ รวม ทั้งการการใช้วิธี HVA หรือยอดขายสินค้าและบริการที่มีมูลค่าเพิ่ม ตลอดจนการอัดงบเพื่อวิจัยและพัฒนาสินค้า พร้อมกับการพัฒนาบุคลากรอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งการหาตลาดใหม่ ๆ เพิ่มการส่งออก ส่งผลให้ผลงานไตรมาสแรกออกมาดีเกินคาดเพราะมาร์จินที่ดี

**ไตรมาสแรกกำไรวูบเกือบ2พันล.**
สำหรับผลงานไตรมาสแรกปีนี้ บริษัทมีกำไรสุทธิ 5,187.96 ล้านบาท ลดลงจากงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 7,115.79 ล้านบาท หรือลดลง 1,927.83 ล้านบาท คิดเป็น 27% จากงวดเดียวกันของปีก่อน ซึ่งเป็นผลมาจากสภาวะเศรษฐกิจโลกที่ยังชะลอตัว ประกอบกับบริษัทร่วมในธุรกิจเคมีภัณฑ์ ซึ่งรับรู้ผลการดำเนินงานตามวิธีส่วนได้เสีย มีผลการดำเนินงานที่ลดลง แต่หากเทียบกับไตรมาส 4 ปี 51 พบว่ากำไรเพิ่มขึ้น 8,668 ล้านบาท เนื่องจากธุรกิจเคมีภัณฑ์ที่ดีขึ้น ประกอบกับไม่มีขาดทุนจากมูลค่าสินค้าคงเหลือ (Stock Loss) ซึ่งในไตรมาสก่อน บริษัทมีขาดทุนจากมูลค่าสินค้าคงเหลือประมาณ 5,000 ล้านบาท

โดยแยก ยอดขายไตรมาสนี้แยกตามกลุ่มคือกลุ่มปิโตรเคมีคอลส์พบว่า มี 21,591 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2% จากไตรมาสก่อน แต่ลดลง 42% จากไตรมาสเดียวกัน อันเป็นผลจากราคาขายผลิตภัณฑ์ที่ลดลง แต่มีกำไรสุทธิเพิ่มเพราะไม่มีผลขาดทุนจากstock loss ส่วนกลุ่มกระดาษ มียอดขายสุทธิ 9,691 ล้านบาท ลดลง 21% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน แต่ลดลง8% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน อันเป็นผลจากราคาผลิตภัณฑ์ที่ลดลงต่อเนื่อง และธุรกิจซิเมนต์ มียอดขายสุทธิ 12,373 ล้านบาท หรือลดลง 3% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากปริมาณขายในประเทศ และปริมาณส่งออกลดลง

"ยอดขายปูนในประเทศเมื่อเทียบกับปี 51 ช่วงไตรมาสแรกลดลง 10 % บวกกับความต้องการในตลาดโลกลดลง ส่งผลให้ราคาซิเมนต์ต้องลดตามไป แต่ปลายเดือนมีนาคม เริ่มขยับขึ้นมาบ้าง เมื่อเทียบกับปี 51 และครึ่งปีหลังปูนซิเมนต์จะดีขึ้น เพราะมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจภาครัฐ คาดว่าจะทำให้เกิดการลงทุนเพิ่ม เพราะการอนุมัติโครงการรถไฟฟ้าสายต่าง ๆ ทยอยออกมาแล้ว จะทำให้ผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์เริ่มเดินหน้าก่อสร้างโครงการต่าง ๆ เพื่อขาย หลังจากที่ชะลอการก่อสร้างและรับผลจากพิษเศรษฐกิจจากตลาดโลก" นายกานต์กล่าว

สำหรับธุรกิจปิโตรเคมีนั้น ขณะนี้บริษัทส่งออกเพิ่มเป็น 40% ถือว่าดีขึ้น แม้ว่าวอลุ่มลดลง แต่บริษัทจะผลักดันสินค้าส่งออกไปยังประเทศต่างๆ เพิ่มขึ้นเป็นการขยายตลาด และทิศทางของราคาปิโตรเคมีจะเป็นช่วงขาลงในช่วงครึ่งปีหลัง ซึ่งป็นไปตามภาวะตลาดโลกเพราะช่วงไตรมาส 3 จะมีกำลังการผลิตจากโรงงานในตะวันออกกลางเข้ามาสู่ตลาดโลกเพิ่มอีก 8 ล้านกว่าตัน แต่ต้องมาลุ้นสเปรดด้วยว่าจะมากน้อยเพียงใด ซึ่งปีนี้กลุ่มปิโตรเคมีคาดว่าจะได้รับผลกระทบมากสุดจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจ เพราะราคาลดลงจากปีก่อนมาก แต่จะไม่มีปัญหาขาดทุนสต๊อก และปัจจุบันผลิตเกือบเต็มกำลังแล้ว

ส่วนธุรกิจกระดาษยังประสบปัญหาต่อเนื่องจากราคาขายตกต่ำ ซึ่งคาดว่าในช่วงไตรมาส 2/52 น่าจะเป็นช่วงที่ราคาเข้าสู่จุดต่ำสุดและหลังจากนั้นจะเริ่มทรงตัว โดยบริษัทได้รับผลกระทบทั้งธุรกิจกระดาษกล่องและกระดาษขาวที่มีกำลังซื้อลดลง ทำให้มีการเดินเครื่องผลิตเพียง 75% จากปี 51 ใช้กำลังผลิตถึง 80% และธุรกิจวัสดุก่อสร้างปีนี้น่าจะเติบโตขึ้น หลังบริษัทได้รับรู้รายได้จาก"คอตโต้"เข้ามา ส่วนธุรกิจนำเข้าส่งออกน่าจะปรับตัวลดลงตามภาวะเศรษฐกิจ เพราะความต้องการใช้ถ่านหินและเศษเหล็กปรับตัวลดลง

**ฟุ้งเงินสดเพียบพร้อมลงทุน **
นายกานต์กล่าวถึงตัวเลขหนี้ของบริษัทในปัจจุบันว่าลดลงจากเดิมที่มีอยู่กว่า 120,500 ล้านบาท เหลือเพียง 116,000 ล้านบาท ซึ่งถือว่าลดลงมาก ขณะที่บริษัทมีเงินทุนหมุนเวียนเพิ่มจากไตรมาส 4ปี 51 อยู่ที่ 26,000 ล้านบาท เป็น 36,000 ล้านบาทในไตรมาสนี้

" มูลหนี้ที่มีนั้น วงเงิน 55 ,000 ล้านบาท เป็นหนี้ที่บริษัทใช้ในการก่อสร้างโครงการที่อยู่ระหว่างดำเนินการ และหากดึงหนี้ส่วนนี้ออกจะเหลือส่วนที่เป็นหนี้เงินกู้จริง ๆ เพียง 6 หมื่นกว่าล้านบาทเท่านั้น ถือว่าต่ำมาก " นายกานต์กล่าว

สำหรับการลงทุนเพื่อสร้างรายได้เพิ่มในอนาคตนั้น บริษัทได้เจรจากับหลายบริษัทและหลากหลายธุรกิจที่เสนอให้เข้าไปช่วยลงทุนหลังจากประสบวิกฤตเศรษฐกิจ คาดว่าจะเห็นความชัดเจนเข้าลงทุนประมาณปลายปีนี้ พร้อมกับปฏิเสธที่จะเปิดเผยว่าได้เข้าไปเจรจาเพื่อซื้อกิจการบางส่วนของกลุ่มดาวเคมิคอลในอาเซียน พร้อมกับกล่าวว่าหากการลงทุนใดที่ทำให้เกิดประโยชน์กับบริษัทและราคาเหมาะสม บริษัทก็พร้อมจะลงทุน ซึ่งปัจจุบันบริษัทมีความพร้อมเพราะกระแสเงินสดในมือประมาณ 2.8 หมื่นล้านบาท

อย่างไรก็ดี บริษัทมีแผนที่จะออกหุ้นกู้ล็อตใม่ เพื่อไถ่ถอนหุ้นกู้ชุดเดิมที่จะครบกำหหนดเดือนตุลาคมนี้ แต่ยังไม่มีความชัดเจนว่าจะออกเท่าเดิมหรือไม่ เพราะส่วนหนึ่งขณะนี้บริษัทมีกระแสเงินสดในมือพอสมควรแล้ว
กำลังโหลดความคิดเห็น