บิ๊กช.การช่าง ห่วงการเมืองป่วนทำโครงการเมกะโปรเจกต์ล่าช้า ส่งผลเศรษฐกิจสะดุด โอด รฟท.ขอลดค่าก่อสร้างรถไฟฟ้าสายสีม่วงสัญญา 1 ถึง 1,700 ล้านบาท ทำกำไรหาย 50% เล็งเปิดโต๊ะเจรจาวัสดุล็อกราคาล่วงหน้า พร้อมเร่งงานก่อสร้างไม่ให้เกิน 3 ปี จากแผนเดิม 3 ปี 6 เดือน หวังควบคุมความเสี่ยง
นาย ปลิว ตรีวิศวเวทย์ ประธานกรมการบริหาร บริษัท ช.การช่าง จำกัด (มหาชน) หรือ CK เปิดเผยว่า การที่คณะกรรมการ การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) เจรจาต่อรองราคาค่าก่อสร้างรถไฟฟ้าสายสีม่วง ช่วงบางใหญ่-บางซื่อ สัญญาที่ 1 หรือโครงสร้างยกระดับตะวันออกจากเตาปูน-สะพานพระนั่งเกล้า ระยะทาง 12 กม. ซึ่งในนามกลุ่ม ซีเคทีซี จอยท์เวนเจอร์ ที่มีบริษัทฯเป็นแกนนำ ยอมลดค่าก่อสร้างโครงการเหลือ 14,985 ล้านบาท จากที่เสนอราคาครั้งแรก 16,724.50 ล้านบาท หรือลดลงประมาณ 1,700 ล้านบาท
"ตามหลักการในการกู้เงินจากต่างประเทศ ไม่สามารถต่อรองราคากันได้ เพราะได้ผ่านการแข่งขันทางด้านราคามาแล้ว หากมีการต่อรองอาจทำให้งานไม่ประสบความสำเร็จแต่การยอมลดราคาให้ดังกล่าวไปไปตามหลักการแบบไทยๆ อีกทั้งการปรับราคาก็อยู่ในวิสัยที่สามารถทำได้เพราะตอนบริษัทยื่นซองประกวดราคาในช่วงเดือนกรกฎาคม 2551ราคาวัสดุก่อสร้างและน้ำมันได้พุ่งเพิ่มขึ้นสูงสุดแต่ตอนนี้ได้ลดลงมาไม่ต่ำกว่า 50% เช่นเหล็กจากราคากิโลกรัมละ 40 บาทเหลือ 20 บาท และคาดว่าปีนี้ราคาวัสดุจะมีเสถียรภาพทั้งปีส่วนปี 2553 ไม่แน่ใจจะปรับเพิ่มหรือไม่ขึ้นอยู่กับนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของจีน และสหรัฐอเมริกาว่าได้ผลแค่ไหน” นายปลิวกล่าว
ภายหลังจากนี้ไป รฟม.จะรายงานผลไปยังองค์การความร่วมมือระหว่างประเทศของญี่ปุ่น หรือ ไจก้า ในฐานะเจ้าของเงินกู้ ก่อนจะเสนอครม.ต่อไป คาดว่าจะเซ็นสัญญาว่าจ้างได้ภายในเดือนพ.ค. นี้ และจะเริ่มลงมือก่อสร้างได้ประมาณ ไตรมาส 3 ของปีนี้
สำหรับการปรับลดราคาลงดังกล่าวจะส่งผลให้กำไรเบื้องของโครงการนี้ที่คาดการณ์ไว้ลดลงประมาณ 50% จากเดิมที่คาดการณ์ไว้ว่าจะมีกำไรจากการก่อสร้างรถไฟฟ้าสีม่วงสัญญาที่ 1 ประมาณ 5% ทำให้บริษัทต้องมีความระมัดระวังเรื่องการควบคุมต้นทุนการก่อสร้างเพิ่มมากขึ้น เพราะระยะเวลาการก่อสร้างนานถึง 3 ปี 6 เดือน ดังนั้นจึงมีความเป็นไปได้ว่าราคาจะขยับขึ้นได้อีก ซึ่งแนวทางในการป้องกันความเสี่ยงนั้นภายหลังจากเซ็นสัญญาบริษัทจะเรียกผู้ค้าวัสดุยื่นข้อเสนอราคาตลอดการก่อสร้างโดยจะเป็นการล็อกราคาล่วงหน้า
นอกจากนี้บริษัทยังต้องเร่งงานก่อสร้างให้แล้วเสร็จภายใน 3 ปี เพื่อลดความเสี่ยงในเรื่องต้นทุน ส่วนเงินลงทุนนั้นบริษัทได้เตรียมไว้แล้วโดยจะเป็นการนำเงินทุนหมุนเวียนที่มีอยู่ส่วนหนึ่งและเงินกู้บางส่วนในการลงทุน อย่างไรก็ดี โครงการนี้มีข้อดีคือสามารถเบิกเงินได้ทุกเดือนเมื่องานมีความคืบหน้า
แต่อย่างไรก็ตาม แม้ว่า ช.การช่างจะได้งานนี้อย่างแน่นอนแล้วก็ตาม แต่ก็ยังมีความเสี่ยงทางการเมือง เพราะหากมีการเปลี่ยนแปลงรัฐบาลก่อนที่เรื่องจะได้รับการพิจารณาจากคณะรัฐมนตรี (ครม.) จะทำให้โครงการก่อสร้างล่าช้าจากเดิมที่ล่าช้าอยู่แล้ว อย่างไรก็ดียังมีข้อสัญญาของไจก้ากับรัฐบาลไทย โดยกำหนดการเบิกเงินกู้ไว้ชัดเจนหากล่าช้าจะถูกปรับ ซึ่งจะเป็นตัวเร่งรัฐบาลไทยได้อีกทางหนึ่ง นอกจากนี้หากมีการเปลี่ยนแปลงรัฐบาลหรือการเมืองไม่มั่นคงก็จะส่งผลกระทบต่อโครงการเมกะโปรเจกส์อื่นๆ ที่กำลังจะเปิดประมูลอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อการขับเคลื่อนเศรษฐกิจอย่างแน่นอน
ส่วนสัญญาที่ 2 และ 3 ของรถไฟฟ้าสายสีม่วงที่ทางบริษัทได้ยื่นซองประกวดราคาไปแล้วนั้นคาดว่าการแข่งขันจะสูงกว่าสัญญาที่ 1 เพราะก่อสร้างงายกว่าและคาดว่าจะต้องมีการเจรจาให้ปรับลดราคาก่อสร้างเช่นเดียวกัน โดยบริษัทมั่นใจร้อยละ 50 ว่าจะได้รับการคัดเลือก
นอกจากนี้ทางบริษัทยังมีความสนใจที่จะยื่นซองประกวดราคารถไฟฟ้าสายอื่นๆ เช่น น้ำเงิน เขียว แดง อย่างไรก็ตามบริษัทยังมีสัญญาก่อสร้างที่จะลงนามในปีนี้อีก 3-4 หมื่นล้าน เช่น การก่อสร้างอุโมงค์ใต้ดิน ย่านจรัญสนิทวงศ์ ของกรุงเทพมหานคร เขื่อนไฟฟ้า ประเทศลาว กอรปกับปัจจัยวัสดุก่อสร้างที่ปรับตัวลดลงทำให้กำไรดีกว่าปีก่อนหน้า
นาย ปลิว ตรีวิศวเวทย์ ประธานกรมการบริหาร บริษัท ช.การช่าง จำกัด (มหาชน) หรือ CK เปิดเผยว่า การที่คณะกรรมการ การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) เจรจาต่อรองราคาค่าก่อสร้างรถไฟฟ้าสายสีม่วง ช่วงบางใหญ่-บางซื่อ สัญญาที่ 1 หรือโครงสร้างยกระดับตะวันออกจากเตาปูน-สะพานพระนั่งเกล้า ระยะทาง 12 กม. ซึ่งในนามกลุ่ม ซีเคทีซี จอยท์เวนเจอร์ ที่มีบริษัทฯเป็นแกนนำ ยอมลดค่าก่อสร้างโครงการเหลือ 14,985 ล้านบาท จากที่เสนอราคาครั้งแรก 16,724.50 ล้านบาท หรือลดลงประมาณ 1,700 ล้านบาท
"ตามหลักการในการกู้เงินจากต่างประเทศ ไม่สามารถต่อรองราคากันได้ เพราะได้ผ่านการแข่งขันทางด้านราคามาแล้ว หากมีการต่อรองอาจทำให้งานไม่ประสบความสำเร็จแต่การยอมลดราคาให้ดังกล่าวไปไปตามหลักการแบบไทยๆ อีกทั้งการปรับราคาก็อยู่ในวิสัยที่สามารถทำได้เพราะตอนบริษัทยื่นซองประกวดราคาในช่วงเดือนกรกฎาคม 2551ราคาวัสดุก่อสร้างและน้ำมันได้พุ่งเพิ่มขึ้นสูงสุดแต่ตอนนี้ได้ลดลงมาไม่ต่ำกว่า 50% เช่นเหล็กจากราคากิโลกรัมละ 40 บาทเหลือ 20 บาท และคาดว่าปีนี้ราคาวัสดุจะมีเสถียรภาพทั้งปีส่วนปี 2553 ไม่แน่ใจจะปรับเพิ่มหรือไม่ขึ้นอยู่กับนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของจีน และสหรัฐอเมริกาว่าได้ผลแค่ไหน” นายปลิวกล่าว
ภายหลังจากนี้ไป รฟม.จะรายงานผลไปยังองค์การความร่วมมือระหว่างประเทศของญี่ปุ่น หรือ ไจก้า ในฐานะเจ้าของเงินกู้ ก่อนจะเสนอครม.ต่อไป คาดว่าจะเซ็นสัญญาว่าจ้างได้ภายในเดือนพ.ค. นี้ และจะเริ่มลงมือก่อสร้างได้ประมาณ ไตรมาส 3 ของปีนี้
สำหรับการปรับลดราคาลงดังกล่าวจะส่งผลให้กำไรเบื้องของโครงการนี้ที่คาดการณ์ไว้ลดลงประมาณ 50% จากเดิมที่คาดการณ์ไว้ว่าจะมีกำไรจากการก่อสร้างรถไฟฟ้าสีม่วงสัญญาที่ 1 ประมาณ 5% ทำให้บริษัทต้องมีความระมัดระวังเรื่องการควบคุมต้นทุนการก่อสร้างเพิ่มมากขึ้น เพราะระยะเวลาการก่อสร้างนานถึง 3 ปี 6 เดือน ดังนั้นจึงมีความเป็นไปได้ว่าราคาจะขยับขึ้นได้อีก ซึ่งแนวทางในการป้องกันความเสี่ยงนั้นภายหลังจากเซ็นสัญญาบริษัทจะเรียกผู้ค้าวัสดุยื่นข้อเสนอราคาตลอดการก่อสร้างโดยจะเป็นการล็อกราคาล่วงหน้า
นอกจากนี้บริษัทยังต้องเร่งงานก่อสร้างให้แล้วเสร็จภายใน 3 ปี เพื่อลดความเสี่ยงในเรื่องต้นทุน ส่วนเงินลงทุนนั้นบริษัทได้เตรียมไว้แล้วโดยจะเป็นการนำเงินทุนหมุนเวียนที่มีอยู่ส่วนหนึ่งและเงินกู้บางส่วนในการลงทุน อย่างไรก็ดี โครงการนี้มีข้อดีคือสามารถเบิกเงินได้ทุกเดือนเมื่องานมีความคืบหน้า
แต่อย่างไรก็ตาม แม้ว่า ช.การช่างจะได้งานนี้อย่างแน่นอนแล้วก็ตาม แต่ก็ยังมีความเสี่ยงทางการเมือง เพราะหากมีการเปลี่ยนแปลงรัฐบาลก่อนที่เรื่องจะได้รับการพิจารณาจากคณะรัฐมนตรี (ครม.) จะทำให้โครงการก่อสร้างล่าช้าจากเดิมที่ล่าช้าอยู่แล้ว อย่างไรก็ดียังมีข้อสัญญาของไจก้ากับรัฐบาลไทย โดยกำหนดการเบิกเงินกู้ไว้ชัดเจนหากล่าช้าจะถูกปรับ ซึ่งจะเป็นตัวเร่งรัฐบาลไทยได้อีกทางหนึ่ง นอกจากนี้หากมีการเปลี่ยนแปลงรัฐบาลหรือการเมืองไม่มั่นคงก็จะส่งผลกระทบต่อโครงการเมกะโปรเจกส์อื่นๆ ที่กำลังจะเปิดประมูลอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อการขับเคลื่อนเศรษฐกิจอย่างแน่นอน
ส่วนสัญญาที่ 2 และ 3 ของรถไฟฟ้าสายสีม่วงที่ทางบริษัทได้ยื่นซองประกวดราคาไปแล้วนั้นคาดว่าการแข่งขันจะสูงกว่าสัญญาที่ 1 เพราะก่อสร้างงายกว่าและคาดว่าจะต้องมีการเจรจาให้ปรับลดราคาก่อสร้างเช่นเดียวกัน โดยบริษัทมั่นใจร้อยละ 50 ว่าจะได้รับการคัดเลือก
นอกจากนี้ทางบริษัทยังมีความสนใจที่จะยื่นซองประกวดราคารถไฟฟ้าสายอื่นๆ เช่น น้ำเงิน เขียว แดง อย่างไรก็ตามบริษัทยังมีสัญญาก่อสร้างที่จะลงนามในปีนี้อีก 3-4 หมื่นล้าน เช่น การก่อสร้างอุโมงค์ใต้ดิน ย่านจรัญสนิทวงศ์ ของกรุงเทพมหานคร เขื่อนไฟฟ้า ประเทศลาว กอรปกับปัจจัยวัสดุก่อสร้างที่ปรับตัวลดลงทำให้กำไรดีกว่าปีก่อนหน้า