ตลาดหลักทรัพย์ ยืนยันฐานะบริษัทจดทะเบียนไทยยังแข็งแกร่ง ไม่มีปัญหาสภาพคล่องทางการเงิน อีกทั้งยังเป็นโอกาสดีในการระดมทุนผ่านหุ้น “ภัทรียา” เชื่อ กระทรวงการคลังจะใช้ตลาดทุนเป็นช่องทางระดมเงินลงทุนโครงการต่างๆ หลังแย้มเตรียมจัดตั้งกองทุนวายุภักษ์ 2 ขณะเดียวกัน รอบอร์ดประชุมทบทวนเป้าวอลุ่มซื้อขาย-บจ.ใหม่ช่วงสิ้นเดือนนี้ ส่วนมูลค่าซื้อขายที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น 2 หมื่นล้านบาท 3 วันติดต่อ คาดเพราะได้รับอานิสงส์จากปัจจัยภายนอกที่เริ่มดีขึ้น
นางภัทรียา เบญจพลชัย กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เปิดเผยว่า ภาพรวมธุรกิจของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ (บจ.) ขณะนี้ยังมีฐานะทางการเงินที่แข็งแกร่ง และยังไม่เห็นสัญญาณที่ธุรกิจจะประสบปัญหาในเรื่องสภาพคล่องทางการเงิน เนื่องจากโดยรวมยังมีหนี้สินต่อทุนที่ต่ำเพียง 1.1 เท่า ซึ่งถือว่าน้อยมาก เพราะ บริษัทจดทะเบียนมีการปรับตัวมามาระยะหนึ่งแล้ว และที่ผ่านมานั้น จากการที่ทีมงานของตลาดหลักทรัพย์ฯเข้าไปพบกับบริษัทจดทะเบียนก็พบว่า บจ.มีการปรับตัวค่อนข้างดีจากผลประกอบการที่ประกาศออกมา และได้มีการเตรียมสภาพคล่องทางการเงินไว้แล้ว
“จากที่ดูภาวะรวมของธุรกิจของบริษัทจดทะเบียนนั้นมีความแข็งแรง ซึ่งยังไม่เห็นสัญญาณที่จะมีปัญหาในเรื่องสภาพคล่อง แม้หากมีก็ถือว่าน้อยมาก เพราะส่วนใหญ่มีหนี้สินต่อทุนที่ต่ำ และที่ผ่านมาบริษัทจดทะเบียนนมีการปรับตัวมาระยะหนึ่งแล้ว จึงถือว่า บจ.มีการปรับตัวค่อนข้างดี” นางภัทรียา กล่าว
ทั้งนี้ จากปัจจุบันที่อัตราดอกเบี้ยอยู่ในช่วงขาลงนั้น กรรมการผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์ฯ กล่าวว่า เป็นจังหวะที่ดีในการที่บจ.ที่ต้องการหาเงินทุนเพื่อไปชำระหนี้ หรือขยายงาน สามารถมีช่องทางระดมทุนเพิ่มขึ้น โดยการออกหุ้นกู้ ซึ่งนักลงทุนนั้นต้องการที่จะลงทุนในหุ้นกู้ในบริษัทที่มีความแข็งแรง จึงถือว่าเป็นอีกช่องทางในการระดมทุนในช่วงภาวะตลาดทุนที่ไม่ค่อยดีในขณะนี้ โดยไม่ถือว่าเป็นการเสียโอกาสที่นักลงทุนจะเข้ามาลงทุนในตลาดทุน เพราะ ตลาดทุนนั้นมี 3 ตลาด คือ ตลาดทุน ตลาดตราสารหนี้ และตลาดอนุพันธ์ ซึ่งเป็นทางเลือกที่นักลงทุนสามารถเข้ามาลงทุนได้
ผู้สื่อข่าวได้มีการสอบถามถึงกรณีที่ นายกอร์ปศักดิ์ สภาวสุ รองนายกรัฐมนตรี จะทบทวนวงเงินงบลงทุนในปี 2553 จำนวน 3 แสนล้านบาท และงบลงทุนตามแผนระยะ 3 ปี เม็ดเงิน 1.56 ล้านล้านบาทใหม่ว่ามีความจำเป็นหรือไม่ โดยหากจะมีการคงเม็ดเงินลงทุน ไว้เท่าเดิม ก็จะต้องหาเงินนอกงบประมาณมาสมทบ ซึ่งมีหลาย แนวทาง เช่น การระดมทุน ผ่านกองทุนวายุภักษ์ 2นั้น นางภัทรียา กล่าวว่า ที่ผ่านมาตลาดหลักทรัพย์ฯได้มีการหารือเรื่องการจัดตั้งกองทุนดังกล่าวมาอย่างต่อเนื่องโดยขณะนี้ยังไม่ได้มีการหารืออย่างเป็นทางการจากทางกระทรวงการคลัง ซึ่งหากภาครัฐจะมีการลงทุนในโครงการต่างๆ นั้น กระทรวงการคลังจำเป็นต้องหาช่องทางในหาเงินทุนจากตลาดทุน
**รอประเมินภาวะวอลุ่มเทรด**
นางภัทรียา เบญจพลชัย กล่าวว่า ช่วงสิ้นเดือนนี้ตลาดหลักทรัพย์จะมีการประชุมคณะกรรมการตลาดหลักทรัพย์ฯในเรื่องการทบทวนเป้าหมายมูลค่าการซื้อขายและบริษัทที่จะเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ รวมทั้งตลาดหลักทรัพย์เอ็มเอไอ (mai) ในปีนี้ใหม่ จากมูลค่าการซื้อขายในไตรมาส 1/52 ที่มีการปรับตัวลดลง ซึ่งได้รับผลกระทบจากปัจจัยภายนอกและภายในประเทศ
ส่วนกรณีที่มูลค่าการซื้อขายในช่วง 3 วันที่ผ่านมา มีการปรับตัวเพิ่มขึ้นอยู่ที่ระดับ 20,000 ล้านบาทนั้น นางภัทรียาให้ความเห็นว่า ตลาดหุ้นน่าจะได้รับปัจจัยบวก 2 เรื่อง คือ ภาวะเศรษฐกิจโลกมีการปรับตัวดีขึ้น โดยสังเกตได้จากนักวิเคราะห์เริ่มมีการประเมินทิศทางที่ดีขึ้นกว่าเดิม และดัชนีชี้วัดเศรษฐกิจเริ่มปรับตัวดีขึ้น รวมทั้งปัจจัยการเมืองที่คลี่คลายลง จากที่รัฐบาลสามารถแก้ไขสถานการณ์ปัญหาทางการเมืองได้ ส่งผลให้ดัชนีตลาดหุ้นไทยจึงมีการปรับตัวขึ้นอย่างมีเสถียรภาพ
**ดัชนีหุ้นซึม!ดีดตัวแค่ 0.1 จุด**
ส่วนดัชนีตลาดหลักทรัพย์วานนี้ (21 เม.ย.) ปิดที่ระดับ 466.38 จุด เพิ่มขึ้น 0.10 จุด หรือ 0.02% มูลค่าการซื้อขาย 14,886.30 ล้านบาท โดยขยับขึ้นแตะจุดสูงสุดของวันที่ 467.05 จุด และต่ำสุดขที่ 459.33 จุด จำนวนหลักทรัพย์เปลี่ยนแปลง เพิ่มขึ้น 186 หลักทรัพย์ ลดลง 119 หลักทรัพย์ และไม่เปลี่ยนแปลง 119 หลักทรัพย์
นายวรุตม์ ศิวะศริยานนท์ รองกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิจัย บล.ฟินันซ่า กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยมีเคลื่อนไหวไปตามตลาดหุ้นอื่นในภูมิภาคเอเชียที่ส่วนใหญ่อยู่แดนลบเนื่องจากได้รับแรงกดดันจากที่นักลงทุนกลัวในเรื่องเอ็นพีแอล ของสถาบันการเงิน แต่ตลาดไทยยังแข็งกว่าตลาดอื่น เพราะยังเป็น laggard market ดังนั้นจึงไม่ปรับตัวลงมาก นอกจากนี้ การประกาศตัวเลขการส่งออกงวดเดือนมี.ค.ได้ออกมาแล้ว ลดลง 23% แต่ถือว่าไม่ได้แย่กว่าที่คาดการณ์กันไว้ และมองว่าในช่วงที่ผ่านมาตลาดฯได้รับรู้ข่าวลบไปพอสมควรแล้ว สำหรับปัจจัยการเมืองยังคงกดดันตลาดอยู่เช่นเดิม
โดยแนวโน้มการลงทุนในวันนี้ (22 เม.ย.) คาดว่า ตลาดหุ้นไทยน่าจะแกว่งไซด์เวย์ เพราะเวลานี้ตลาดยังไม่ได้มีปัจจัยบวกอะไรเข้ามา จึงให้แนวรับไว้ที่ 460 จุด แนวต้าน 469 จุด
นางภัทรียา เบญจพลชัย กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เปิดเผยว่า ภาพรวมธุรกิจของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ (บจ.) ขณะนี้ยังมีฐานะทางการเงินที่แข็งแกร่ง และยังไม่เห็นสัญญาณที่ธุรกิจจะประสบปัญหาในเรื่องสภาพคล่องทางการเงิน เนื่องจากโดยรวมยังมีหนี้สินต่อทุนที่ต่ำเพียง 1.1 เท่า ซึ่งถือว่าน้อยมาก เพราะ บริษัทจดทะเบียนมีการปรับตัวมามาระยะหนึ่งแล้ว และที่ผ่านมานั้น จากการที่ทีมงานของตลาดหลักทรัพย์ฯเข้าไปพบกับบริษัทจดทะเบียนก็พบว่า บจ.มีการปรับตัวค่อนข้างดีจากผลประกอบการที่ประกาศออกมา และได้มีการเตรียมสภาพคล่องทางการเงินไว้แล้ว
“จากที่ดูภาวะรวมของธุรกิจของบริษัทจดทะเบียนนั้นมีความแข็งแรง ซึ่งยังไม่เห็นสัญญาณที่จะมีปัญหาในเรื่องสภาพคล่อง แม้หากมีก็ถือว่าน้อยมาก เพราะส่วนใหญ่มีหนี้สินต่อทุนที่ต่ำ และที่ผ่านมาบริษัทจดทะเบียนนมีการปรับตัวมาระยะหนึ่งแล้ว จึงถือว่า บจ.มีการปรับตัวค่อนข้างดี” นางภัทรียา กล่าว
ทั้งนี้ จากปัจจุบันที่อัตราดอกเบี้ยอยู่ในช่วงขาลงนั้น กรรมการผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์ฯ กล่าวว่า เป็นจังหวะที่ดีในการที่บจ.ที่ต้องการหาเงินทุนเพื่อไปชำระหนี้ หรือขยายงาน สามารถมีช่องทางระดมทุนเพิ่มขึ้น โดยการออกหุ้นกู้ ซึ่งนักลงทุนนั้นต้องการที่จะลงทุนในหุ้นกู้ในบริษัทที่มีความแข็งแรง จึงถือว่าเป็นอีกช่องทางในการระดมทุนในช่วงภาวะตลาดทุนที่ไม่ค่อยดีในขณะนี้ โดยไม่ถือว่าเป็นการเสียโอกาสที่นักลงทุนจะเข้ามาลงทุนในตลาดทุน เพราะ ตลาดทุนนั้นมี 3 ตลาด คือ ตลาดทุน ตลาดตราสารหนี้ และตลาดอนุพันธ์ ซึ่งเป็นทางเลือกที่นักลงทุนสามารถเข้ามาลงทุนได้
ผู้สื่อข่าวได้มีการสอบถามถึงกรณีที่ นายกอร์ปศักดิ์ สภาวสุ รองนายกรัฐมนตรี จะทบทวนวงเงินงบลงทุนในปี 2553 จำนวน 3 แสนล้านบาท และงบลงทุนตามแผนระยะ 3 ปี เม็ดเงิน 1.56 ล้านล้านบาทใหม่ว่ามีความจำเป็นหรือไม่ โดยหากจะมีการคงเม็ดเงินลงทุน ไว้เท่าเดิม ก็จะต้องหาเงินนอกงบประมาณมาสมทบ ซึ่งมีหลาย แนวทาง เช่น การระดมทุน ผ่านกองทุนวายุภักษ์ 2นั้น นางภัทรียา กล่าวว่า ที่ผ่านมาตลาดหลักทรัพย์ฯได้มีการหารือเรื่องการจัดตั้งกองทุนดังกล่าวมาอย่างต่อเนื่องโดยขณะนี้ยังไม่ได้มีการหารืออย่างเป็นทางการจากทางกระทรวงการคลัง ซึ่งหากภาครัฐจะมีการลงทุนในโครงการต่างๆ นั้น กระทรวงการคลังจำเป็นต้องหาช่องทางในหาเงินทุนจากตลาดทุน
**รอประเมินภาวะวอลุ่มเทรด**
นางภัทรียา เบญจพลชัย กล่าวว่า ช่วงสิ้นเดือนนี้ตลาดหลักทรัพย์จะมีการประชุมคณะกรรมการตลาดหลักทรัพย์ฯในเรื่องการทบทวนเป้าหมายมูลค่าการซื้อขายและบริษัทที่จะเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ รวมทั้งตลาดหลักทรัพย์เอ็มเอไอ (mai) ในปีนี้ใหม่ จากมูลค่าการซื้อขายในไตรมาส 1/52 ที่มีการปรับตัวลดลง ซึ่งได้รับผลกระทบจากปัจจัยภายนอกและภายในประเทศ
ส่วนกรณีที่มูลค่าการซื้อขายในช่วง 3 วันที่ผ่านมา มีการปรับตัวเพิ่มขึ้นอยู่ที่ระดับ 20,000 ล้านบาทนั้น นางภัทรียาให้ความเห็นว่า ตลาดหุ้นน่าจะได้รับปัจจัยบวก 2 เรื่อง คือ ภาวะเศรษฐกิจโลกมีการปรับตัวดีขึ้น โดยสังเกตได้จากนักวิเคราะห์เริ่มมีการประเมินทิศทางที่ดีขึ้นกว่าเดิม และดัชนีชี้วัดเศรษฐกิจเริ่มปรับตัวดีขึ้น รวมทั้งปัจจัยการเมืองที่คลี่คลายลง จากที่รัฐบาลสามารถแก้ไขสถานการณ์ปัญหาทางการเมืองได้ ส่งผลให้ดัชนีตลาดหุ้นไทยจึงมีการปรับตัวขึ้นอย่างมีเสถียรภาพ
**ดัชนีหุ้นซึม!ดีดตัวแค่ 0.1 จุด**
ส่วนดัชนีตลาดหลักทรัพย์วานนี้ (21 เม.ย.) ปิดที่ระดับ 466.38 จุด เพิ่มขึ้น 0.10 จุด หรือ 0.02% มูลค่าการซื้อขาย 14,886.30 ล้านบาท โดยขยับขึ้นแตะจุดสูงสุดของวันที่ 467.05 จุด และต่ำสุดขที่ 459.33 จุด จำนวนหลักทรัพย์เปลี่ยนแปลง เพิ่มขึ้น 186 หลักทรัพย์ ลดลง 119 หลักทรัพย์ และไม่เปลี่ยนแปลง 119 หลักทรัพย์
นายวรุตม์ ศิวะศริยานนท์ รองกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิจัย บล.ฟินันซ่า กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยมีเคลื่อนไหวไปตามตลาดหุ้นอื่นในภูมิภาคเอเชียที่ส่วนใหญ่อยู่แดนลบเนื่องจากได้รับแรงกดดันจากที่นักลงทุนกลัวในเรื่องเอ็นพีแอล ของสถาบันการเงิน แต่ตลาดไทยยังแข็งกว่าตลาดอื่น เพราะยังเป็น laggard market ดังนั้นจึงไม่ปรับตัวลงมาก นอกจากนี้ การประกาศตัวเลขการส่งออกงวดเดือนมี.ค.ได้ออกมาแล้ว ลดลง 23% แต่ถือว่าไม่ได้แย่กว่าที่คาดการณ์กันไว้ และมองว่าในช่วงที่ผ่านมาตลาดฯได้รับรู้ข่าวลบไปพอสมควรแล้ว สำหรับปัจจัยการเมืองยังคงกดดันตลาดอยู่เช่นเดิม
โดยแนวโน้มการลงทุนในวันนี้ (22 เม.ย.) คาดว่า ตลาดหุ้นไทยน่าจะแกว่งไซด์เวย์ เพราะเวลานี้ตลาดยังไม่ได้มีปัจจัยบวกอะไรเข้ามา จึงให้แนวรับไว้ที่ 460 จุด แนวต้าน 469 จุด