ผู้จัดการ ตลท.สั่งตรวจเข้มผลกระทบการลงทุน มั่นใจต่างชาติไม่ทิ้งหุ้นไทย เพราะความวุ่นวายทางการเมืองจบเร็ว ยันไม่พบสัญญาณการเทขาย ด้านนักวิเคราะห์ ชี้ “เอสแอนด์พี” ลดเครดิตไทย อาจกระทบบรรยากาศการลงทุน แม้บรรยากาศต่างประเทศจะดีขึ้น พร้อมจับตาสถาบันจัดอันดับเครดิตต่างชาติ ทั้ง มูดีส์ และ ฟิทช์ เล็งลดอันดับเครดิตไทย
นางภัทรียา เบญจพลชัย กรรมการและผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เปิดเผยว่า ตลท.เปิดทำการซื้อขายในวันที่ 16-17 เมษายน 2552 นี้ ซึ่งได้เตรียมระบบการชำระราคาค่าซื้อขายหลักทรัพย์ไว้ตามปกติ โดยที่ผ่านมา ตลท.ได้มีประเมินสถานการณ์ความวุ่นวายทางการเมืองตลอดเวลา และได้มีการสอบถามความคิดเห็นและขอข้อมูลจากโบรกเกอร์ต่างประเทศอย่างใกล้ชิด เพื่อตรวจสอบความคิดเห็นของนักลงทุนต่างชาติ โดยพบว่า นักลงทุนต่างชาติไม่ได้กังวลต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมากนัก และยังไม่มีสัญญาณการส่งคำสั่งขาย เพราะรัฐบาลสามารถดำเนินการผลักดันกลุ่มผู้ชุมนุมคนเสื้อแดงได้เรียบร้อย
นางภัทรียา ระบุว่า การที่รัฐบาลควบคุมสถานการณ์ทางการเมืองได้ ทำให้เหตุการณ์ความวุ่นวายยุติลงได้เร็วกว่าที่คาดไว้ ทำให้ความเสี่ยงจากปัญหาการเมืองลดลง หากไม่มีเหตุการณ์รุนแรงเกิดขึ้นอีก ปัจจัยเสี่ยงทางการเมืองที่เคยกดดันตลาดหุ้นมาโดยตลอดก็จะคลี่คลายไปในทางที่ดีขึ้น
“จากการสอบถามโบรกเกอร์ต่างชาติ พบว่าลูกค้าต่างชาติไม่ได้มีความกังวลต่อเหตุการณ์ความวุ่นวายทางการเมืองมากนัก และสถานการณ์จบเร็วกว่าที่คาด เชื่อว่านักลงทุนต่างชาติยังไม่มีสัญญาณส่งคำสั่งขาย ดังนั้น จึงเชื่อว่า การซื้อขายใรนวันนี้ น่าจะเป็นปกติ ซึ่ง ตลท.ขอประเมินข่าวสารและขัอมูลในวันนี้เพิ่มเติม”
นางภัทรียา กล่าวว่า ตลท.มีกำหนดจะเดินทางไปนำเสนอข้อมูล (โรดโชว์) ให้กับนักลงทุนต่างประเทศ ที่กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ และ นครนิวยอร์ก ประเทศสหรัฐอเมริกา ในวันที่ 18 พฤษภาคม 2552 นี้ ซึ่งจะโอกาสนี้ชี้แจงสถานการณ์ทางการเมืองในประเทศไทย ให้นักลงทุนต่างชาติเข้าใจ โดยยอมรับว่าคงจะมีการสอบถามจากนักลงทุนเป็นจำนวนมาก ซึ่งหากนักลงทุนได้รับข้อมูลที่ชัดเจนขึ้นก็จะมีความเข้าใจประเทศไทยมากขึ้น
ด้านนักวิเคราะห์ คาดว่า ดัชนีหุ้นไทยวันนี้จะปรับตัวลง แม้ว่าผู้ชุมนุมได้สลายการชุมนุมแล้ว เนื่องจากสถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือสแตนดาร์ดแอนด์พัวร์ (S&P) ลดอันดับเครดิตสกุลเงินบาทจากระดับ A เป็น A- จะกระทบต่อบรรยากาศการลงทุนและสถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือต่างๆ อาทิ มูดีส์ และฟิทช์ มีแนวโน้มลดเครดิตไทยลงเช่นกัน ดังนั้น ประเมินว่าคงจะมีแรงขายออกมาจากนักลงทุนทั้งในประเทศและต่างประเทศ
ส่วนประเด็นที่รัฐบาลประกาศคงพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน (พ.ร.ก.ฉุกเฉิน) เพื่อความไม่ประมาทในการดูแลประเทศ ตลอดจนชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน นักวิเคราะห์ประเมินว่า อาจทำให้มุมมองของต่างชาติต่อประเทศไทยยังคงภาพลบ เพราะทำให้ดูว่าการเมืองยังไม่สงบจริง
ด้านนักวิเคราะห์ บล.เอเซีย พลัส เชื่อว่า แรงกดดันทางการเมืองได้ลดน้อยลงแล้ว ทำให้ตลาดปรับในทิศทางเชิงบวกได้ และในสัปดาห์ที่แล้ว ตลาดหุ้นไทยก็บวกน้อยกว่าภูมิภาค และเห็นว่าหลังปัจจัยภายในประเทศสงบลง ปัจจัยภายนอกจะเข้ามามีอิทธิพลต่อการลงทุนมากขึ้น ซึ่งต้องติดตามว่าราคาสินค้าโภคภัณฑ์ มีแนวโน้มจะปรับ ขึ้นด้วยหรือไม่ ขณะที่ในช่วงที่ผ่านมา บรรยากาศภายนอกประเทศเริ่มมีทิศทางดีขึ้น แนวต้านสัปดาห์นี้อยู่ที่ 465 จุด และแนวรับ 450 จุด