“น้ำตาลขอนแก่น” ยันเดินหน้าลงทุนทุกโครงการตามแผน แม้เศรษฐกิจซบ ชี้ฐานเงินแกร่งแบงก์ปล่อยกู้ หนุนขยายงาน คาด โรงงานน้ำตาลในลาวและกัมพูชาเดินหน้าผลิตปลายปีนี้ ฟุ้งออเดอร์เพียบและไม่มีปัญหาส่งออก ชี้ วิกฤตเศรษฐกิจ หันรัดเข็มขัด ลดต้นทุน
นายจำรูญ ชินธรรมมิตร์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท น้ำตาลขอนแก่น จำกัด (มหาชน) KSL เปิดเผยแผนงานปีนี้ ว่า บริษัทจะไม่ชะลอแผนการลงทุนที่ตั้งไว้แต่อย่างใด โดยในทุกโครงการจะเดินหน้าลงทุนตามปกติ แม้จะเป็นช่วงภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวก็ตาม เพราะบริษัทไม่มีปัญหาในด้านสถานะทางการเงิน อีกทั้งเงินกู้ที่ได้รับจากธนาคารพาณิชย์ ทุกแบงก์ยังปล่อยสินเชื่อให้บริษัทตามปกติ
สำหรับความคืบหน้าการลงทุนโครงการโรงงานน้ำตาลใน ส.ป.ป.ลาว และกัมพูชา คาดว่า ในเร็วๆ นี้ จะเริ่มทดสอบระบบและเครื่องจักรได้ จึงคาดว่าประมาณเดือนธันวาคมจะสามารถ เปิดเดินเครื่องเชิงพาณิชย์ได้อย่างเป็นทางการ โดยเริ่มแรกจะสามารถเดินเครื่องได้ประมาณ 70% ของกำลังการผลิตในโรงงานแห่งใหม่ เช่นเดียวกับโครงการที่ อ.บ่อพลอย ซึ่งจะเดินหน้า ลงทุนต่อเพื่อให้แล้วเสร็จตามแผนที่กำหนดไว้
ขณะที่ธุรกิจการผลิตเอทานอลนั้น แม้ราคาเอทานอลจะปรับลดลงมาจากช่วงก่อน จนส่งผลให้ราคาวัตถุดิบปรับลดลงตามไปด้วยนั้น แต่วัตถุดิบในการผลิตเอทานอลของบริษัทมาจากกากน้ำตาล ซึ่งมีต้นทุนทที่ต่ำมาก จึงไม่ส่ง ผลกระทบต่อรายได้โดยรวมของบริษัทที่ปัจจุบัน มีรายได้จากการขายน้ำตาล 80% ส่วนที่เหลืออีก 20% มาจากรายได้การขายเอทานอล รวมทั้งจากธุรกิจส่วนอื่นๆ
สำหรับปี 2552 นั้น บริษัทคาดว่าการเติบโต ของธุรกิจเอทานอลยังทรงตัวใกล้เคียงกับปี 51 (พ.ย.50-ต.ค.51) ที่มีรายได้ประมาณ 300 ล้านบาท เพราะราคาขายในปี 2552 อยู่ในระดับ 17 บาทต่อลิตร ซึ่งต่ำกว่าปีที่ผ่านมา ที่มีราคาขาย ระดับ 22 บาทต่อลิตร เนื่องจากการปรับตัวลด ลงของราคาน้ำมันในช่วงที่ผ่านมา ดังนั้น ประเมินว่า ปีนี้ผลการดำเนินงานโดยรวมจะยังมีการเติบโตอยู่ในระดับ 5-10% เมื่อเทียบจากปีก่อนที่มีรายได้ 1.1 หมื่นล้านบาท ส่วนเม็ดเงินลงทุนปีนี้คาดว่าจะลดลงจากเดิม 5,500 ล้านบาท เหลือ 4,000 ล้านบาท เนื่องจากได้รับผลดีจากต้นทุนวัสดุก่อสร้าง โดยเฉพาะเหล็กที่ราคาต่ำมากเมื่อเทียบกับปีก่อน
อย่างไรก็ดี แนวโน้มของธุรกิจด้านพืชผล ทางการเกษตรปีนี้ พบว่า ขณะนี้ราคาพืชผลสินค้าเกษตรปรับตัวลดลงไม่มาก ทำให้บริษัทได้รับผลกระทบจากวิกฤตเศรษฐกิจครั้งนี้ไม่มากเท่ากับผู้ประกอบการในธุรกิจประเภทอื่นๆ และยืนยันว่า ไม่มีปัญหาการส่งออก แม้มีความล่าช้าในลูกค้าบางรายบ้าง เนื่องจากลูกค้าได้สั่งซื้อและจ่ายเงินล่วงหน้าแล้ว เหลือเพียงมารับสินค้าตามออเดอร์เท่านั้น
โดยราคาน้ำตาลที่ผ่านมาปรับตัวลดลงประมาณ 10-20% แต่ยังสูงกว่าราคาสินค้าเกษตร ชนิดอื่นๆ อีกทั้งบรรดาเกษตรกรผู้ปลูกอ้อยได้ทำราคาขายไว้ล่วงหน้าแล้ว จึงได้ราคาขายอ้อย ที่ดี ส่วนบริษัทได้รับผลกระทบกำไรที่อาจลดลงบ้าง แต่มั่นใจผลการดำเนินงานปีนี้ไม่ขาดทุน
ขณะเดียวกัน จากสภาวะอากาศที่เริ่มร้อนมากขึ้น จนในหลายจังหวัดเริ่มประสบปัญหาภัยแล้ง แต่ไม่กระทบต่อปริมาณการผลิต น้ำตาลของบริษัทเช่นกัน เนื่องจากฤดูกาลการปลูกอ้อยที่ดีที่สุด จะเริ่มตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน-ธันวาคม และมกราคมของทุกปี ดังนั้น ในช่วงฤดูร้อน ระหว่างกุมภาพันธ์ถึงเมษายน จะไม่ส่งผลกระทบต่อปริมาณอ้อยที่บริษัทต้องการ ขณะที่หากเกิดปัญหาภัยแล้งก็จะไม่เกิดการขาดแคลนน้ำตาล เพราะบริษัทปรับลดการส่งออกเพื่อรองรับความต้องการของตลาดในประเทศให้เพียงพอ
นายจำรูญ ชินธรรมมิตร์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท น้ำตาลขอนแก่น จำกัด (มหาชน) KSL เปิดเผยแผนงานปีนี้ ว่า บริษัทจะไม่ชะลอแผนการลงทุนที่ตั้งไว้แต่อย่างใด โดยในทุกโครงการจะเดินหน้าลงทุนตามปกติ แม้จะเป็นช่วงภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวก็ตาม เพราะบริษัทไม่มีปัญหาในด้านสถานะทางการเงิน อีกทั้งเงินกู้ที่ได้รับจากธนาคารพาณิชย์ ทุกแบงก์ยังปล่อยสินเชื่อให้บริษัทตามปกติ
สำหรับความคืบหน้าการลงทุนโครงการโรงงานน้ำตาลใน ส.ป.ป.ลาว และกัมพูชา คาดว่า ในเร็วๆ นี้ จะเริ่มทดสอบระบบและเครื่องจักรได้ จึงคาดว่าประมาณเดือนธันวาคมจะสามารถ เปิดเดินเครื่องเชิงพาณิชย์ได้อย่างเป็นทางการ โดยเริ่มแรกจะสามารถเดินเครื่องได้ประมาณ 70% ของกำลังการผลิตในโรงงานแห่งใหม่ เช่นเดียวกับโครงการที่ อ.บ่อพลอย ซึ่งจะเดินหน้า ลงทุนต่อเพื่อให้แล้วเสร็จตามแผนที่กำหนดไว้
ขณะที่ธุรกิจการผลิตเอทานอลนั้น แม้ราคาเอทานอลจะปรับลดลงมาจากช่วงก่อน จนส่งผลให้ราคาวัตถุดิบปรับลดลงตามไปด้วยนั้น แต่วัตถุดิบในการผลิตเอทานอลของบริษัทมาจากกากน้ำตาล ซึ่งมีต้นทุนทที่ต่ำมาก จึงไม่ส่ง ผลกระทบต่อรายได้โดยรวมของบริษัทที่ปัจจุบัน มีรายได้จากการขายน้ำตาล 80% ส่วนที่เหลืออีก 20% มาจากรายได้การขายเอทานอล รวมทั้งจากธุรกิจส่วนอื่นๆ
สำหรับปี 2552 นั้น บริษัทคาดว่าการเติบโต ของธุรกิจเอทานอลยังทรงตัวใกล้เคียงกับปี 51 (พ.ย.50-ต.ค.51) ที่มีรายได้ประมาณ 300 ล้านบาท เพราะราคาขายในปี 2552 อยู่ในระดับ 17 บาทต่อลิตร ซึ่งต่ำกว่าปีที่ผ่านมา ที่มีราคาขาย ระดับ 22 บาทต่อลิตร เนื่องจากการปรับตัวลด ลงของราคาน้ำมันในช่วงที่ผ่านมา ดังนั้น ประเมินว่า ปีนี้ผลการดำเนินงานโดยรวมจะยังมีการเติบโตอยู่ในระดับ 5-10% เมื่อเทียบจากปีก่อนที่มีรายได้ 1.1 หมื่นล้านบาท ส่วนเม็ดเงินลงทุนปีนี้คาดว่าจะลดลงจากเดิม 5,500 ล้านบาท เหลือ 4,000 ล้านบาท เนื่องจากได้รับผลดีจากต้นทุนวัสดุก่อสร้าง โดยเฉพาะเหล็กที่ราคาต่ำมากเมื่อเทียบกับปีก่อน
อย่างไรก็ดี แนวโน้มของธุรกิจด้านพืชผล ทางการเกษตรปีนี้ พบว่า ขณะนี้ราคาพืชผลสินค้าเกษตรปรับตัวลดลงไม่มาก ทำให้บริษัทได้รับผลกระทบจากวิกฤตเศรษฐกิจครั้งนี้ไม่มากเท่ากับผู้ประกอบการในธุรกิจประเภทอื่นๆ และยืนยันว่า ไม่มีปัญหาการส่งออก แม้มีความล่าช้าในลูกค้าบางรายบ้าง เนื่องจากลูกค้าได้สั่งซื้อและจ่ายเงินล่วงหน้าแล้ว เหลือเพียงมารับสินค้าตามออเดอร์เท่านั้น
โดยราคาน้ำตาลที่ผ่านมาปรับตัวลดลงประมาณ 10-20% แต่ยังสูงกว่าราคาสินค้าเกษตร ชนิดอื่นๆ อีกทั้งบรรดาเกษตรกรผู้ปลูกอ้อยได้ทำราคาขายไว้ล่วงหน้าแล้ว จึงได้ราคาขายอ้อย ที่ดี ส่วนบริษัทได้รับผลกระทบกำไรที่อาจลดลงบ้าง แต่มั่นใจผลการดำเนินงานปีนี้ไม่ขาดทุน
ขณะเดียวกัน จากสภาวะอากาศที่เริ่มร้อนมากขึ้น จนในหลายจังหวัดเริ่มประสบปัญหาภัยแล้ง แต่ไม่กระทบต่อปริมาณการผลิต น้ำตาลของบริษัทเช่นกัน เนื่องจากฤดูกาลการปลูกอ้อยที่ดีที่สุด จะเริ่มตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน-ธันวาคม และมกราคมของทุกปี ดังนั้น ในช่วงฤดูร้อน ระหว่างกุมภาพันธ์ถึงเมษายน จะไม่ส่งผลกระทบต่อปริมาณอ้อยที่บริษัทต้องการ ขณะที่หากเกิดปัญหาภัยแล้งก็จะไม่เกิดการขาดแคลนน้ำตาล เพราะบริษัทปรับลดการส่งออกเพื่อรองรับความต้องการของตลาดในประเทศให้เพียงพอ