นักลงทุนต่างชาติเทขายหุ้นไทยต่อเนื่อง ส่งผลให้ยอดขายสุทธิตั้งแต่ตั้งแต่ต้นปีทะลุ 1.55 แสนล้านบาท ขณะที่วานนี้ (4 ธ.ค.) ตลาดหุ้นซบเซา เหตุนักลงทุนถือเงินสดรอดูท่าทีการการจัดตั้งรัฐบาลใหม่ และบุคคลที่จะเข้ามาเป็นนายกฯ คนใหม่
บรรยากาศการลงทุนในตลาดหุ้นไทย วานนี้ (4 ธ.ค.) ดัชนีตลาดหุ้นไม่ค่อยมีความเคลื่อนไหวมากนัก ท่ามกลางมูลค่าการซื้อขายที่มีเข้ามาอย่างเงียบเหงา เนื่องจากนักลงทุนต่างเริ่มกังวลถึงสถานการณ์ทางการเมืองขึ้นมาอีกครั้ง โดยเฉพาะเรื่องของเสถียรรัฐบาลชุดใหม่ ที่กำลังจะมีการจัดตั้งขึ้นมา ซึ่งอาจจะนำไปสู่ความขัดแย้งรอบใหม่ ทำให้นักลงทุนต่างรอดูสถานการณ์ก่อนจะพิจารณาการลงทุนในตลาดหุ้นไทย
โดยดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับตัวแตะระดับสูงสุดที่ 397.50 บาท ต่ำสุดที่ 387.95 จุด ก่อนจะปิดการซื้อขายที่ 392.87 จุด ลดลงจากวันก่อนแค่ 0.05% หรือคิดเป็น 0.01% มูลค่าการซื้อขายค่อนเข้าบางเบาที่ 8,771.34 ล้านบาท ขณะที่นักลงทุนต่างประเทศยังคงมียอดขายสุทธิ 1,772.91 ล้านบาท นักลงทุนสถาบันซื้อสุทธิ 702.28 ล้านบาท และนักลงทุนรายย่อยซื้อสุทธิ 1,070.63 ล้านบาท
จากการที่นักลงทุนต่างประเทศเทขายหุ้นไทยออกมาอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ยอดขายสุทธิตั้งแต่ต้นปี – ล่าสุด (4 ธ.ค.) มียอดขายสุทธิรวมทั้งสิ้นกว่า 1.55 แสนล้านบาท
สำหรับหลักทรัพย์ที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงสุด 5 อันดับแรก ได้แก่ บมจ.ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม (PTTEP) ราคาปิดที่ 99 บาท เพิ่มขึ้นจากวันก่อน 1 บาท หรือคิดเป็น 1.02% มูลค่าการซื้อขาย 1,278.87 ล้านบาท บมจ.ปตท. (PTT) ปิดที่ 144 บาท ไม่เปลี่ยนแปลงจากวันก่อน มูลค่าการซื้อขาย 1,183.67 ล้านบาท และบมจ.บ้านปู (BANPU) ปิดที่ 183 บาท เพิ่มขึ้น 3 บาท หรือ 1.67% มูลค่าการซื้อขาย 1,039.31 ล้านบาท
นายเกียรติก้อง เดโช ผู้ช่วยผู้อำนวยการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ซิกโก้ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ดัชนีตลาดหลักทรัพย์วานนี้ (4 ธ.ค.) แกว่งตัวอยู่ในกรอบแคบๆ ตามทิศทางตลาดในภูมิภาคเอเชีย โดยมีแรงซื้อของนักลงทุนเข้ามาในกลุ่มพลังงาน จากก่อนหน้าที่ราคาหุ้นกลุ่มพลังงานได้ปรับตัวลงมาค่อนข้างมาก รวมทั้งนักลงทุนได้คาดการณ์ว่าในสัปดาห์หน้าทางการสหรัฐฯ จะมีมาตรการออกมาช่วยเหลือกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ที่กำลังประสบปัญหา
ทั้งนี้ ปัญหาการเมืองภายในประเทศในสัปดาห์นี้เริ่มผ่อนคลายลง เนื่องจากพรรคร่วมรัฐบาลอยู่ระหว่างการเลือกนายกรัฐมนตรีคนใหม่ ประกอบกับกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยขับไล่เผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ได้สลายการชุมนุมที่บริเวณลานคนเมือง หน้าศาลากลางที่ว่าการกรุงเทพมหานคร เพื่อเตรียมเฉลิมฉลองในงานพระราชพิธีเฉลิมประชนมพรรษาของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในวัน 5 ธันวาคมนี้
สำหรับแนวโน้มดัชนีตลาดหุ้นไทยในสัปดาห์หน้า (8 ธ.ค.) คาดว่าตลาดยังคงทรงตัว โดยนักลงทุนต้องจับตาดูท่าทีของรัฐบาลสหรัฐฯ ว่าจะมีแผนช่วยเหลือกลุ่มธุรกิจยานยนต์ที่กำลังประสบปัญหาหรือไม่ รวมถึงตัวเลขการว่างวานที่กำลังจะทยอยประกาศออกมา ขณะที่ปัจจัยในประเทศยังต้องติดตามความคืบหน้าการคัดเลือกผู้ที่จะมาดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคนใหม่
“หากการประกาศตัวเลขการว่างงานของสหรัฐในวัน ( 6 ธ.ค.) ออกมาไม่สูง และรัฐบาลมีการอัดฉีดเม็ดเงินช่วยเหลืออุตสาหกรรมยานยนต์นั้นถือเป็นข่าวดี รวมถึงไม่มีเหตุการณ์รุนแรงเกิดขึ้นในประเทศ คาดว่าดัชนีดีดขึ้นมายืนอยู่ระดับ 400 จุด ทั้งนี้ได้ประเมินแนวรับไว้ที่ 390 จุด และแนวต้านที่ 410 จุด” นายเกียรติก้อง กล่าว
นายภูวดล ลาภอุดมสุข ผู้อำนวยการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล. เอเซียพลัส จำกัด (มหาชน) หรือ ASP กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยยังคงผันผวน ซึ่งเป็นไปในทิศทางเดียวกับตลาดหุ้นเอเชียที่ปรับตัวอยู่ทั้งในแดนบวกและแดนลบ เนื่องจากไม่มีปัจจัยบวกเข้ามาหนุนตลาด อีกทั้งนักลงทุนยังรอดูการเลือกนายกรัฐมนตรีคนใหม่ และคณะรัฐมนตรีว่าจะออกมาแบบใด
ทั้งนี้ ปัจจัยต่างประเทศยังนิ่งไม่มีความเคลื่อนไหว เนื่องจากสภาพเศรษฐกิจทั่วโลกยังอยู่ในช่วงของการชะลอตัว เนื่องจากตลาดยังคงรอดูท่าทีของสภาคองกรส ว่าจะมีแผนออกมาเพื่อกู้วิฤตในกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์หรือไม่
สำหรับแนวโน้มตลาดหลักทรัพย์ในสัปดาห์หน้า คาดว่ายังคงปรับตัวในทิศทางเดียวกับตลาดหุ้นต่างประเทศ และควรจับตาผลการเลือกนายกรัฐมนตรีว่าใครจะได้มาดำรงตำแหน่งนี้ ดังนั้นนักลงทุนระยะให้ทยอยหากดัชนีลงมาต่ำกว่าที่ระดับ 380 จุด โดยมีแนวรับอยู่ที่ 380 จุด และแนวต้านอยู่ที่ 400 จุด
ขณะที่นางสาวปองรัตน์ รัตนะตวณานนท์ ผู้อำนวยการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล. บัวหลวง จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ดัชนีตลาดหุ้นไทยวานนี้เคลื่อนไหวอยู่ในกรอบแคบ เนื่องจากไม่มีปัจจัยบวกเข้ากระตุ้นการลงทุน และจากแรงเทขายเพื่อปรับพอร์ตของนักลงทุนต่างชาติก่อนที่เข้าสู่ช่วงวันหยุดยาวในสิ้นปี ทั้งนี้ปัญหาการเมืองภายในประเทศ เริ่มคลายความวิตกกังวล จึงไม่มีผลกระทบกับตลาดมากนัก เนื่องจากช่วงนี้อยู่ระหว่างการเลือกนายกรัฐมนตรีคนใหม่
สำหรับแนวโน้มดัชนีตลาดหุ้นไทยในสัปดาห์หน้า คาดว่ายังทรงตัว ซึ่งให้จับตาการประชุมเลือกเพื่อเลือกนายกรัฐมนตรีคนใหม่ และคณะรัฐมนตรีชุดใหม่ว่าจะมีหน้าตาแบบใด ซึ่งประเมินแนวรับที่ 380 จุด ส่วนแนวต้านที่ 400 จุด
บรรยากาศการลงทุนในตลาดหุ้นไทย วานนี้ (4 ธ.ค.) ดัชนีตลาดหุ้นไม่ค่อยมีความเคลื่อนไหวมากนัก ท่ามกลางมูลค่าการซื้อขายที่มีเข้ามาอย่างเงียบเหงา เนื่องจากนักลงทุนต่างเริ่มกังวลถึงสถานการณ์ทางการเมืองขึ้นมาอีกครั้ง โดยเฉพาะเรื่องของเสถียรรัฐบาลชุดใหม่ ที่กำลังจะมีการจัดตั้งขึ้นมา ซึ่งอาจจะนำไปสู่ความขัดแย้งรอบใหม่ ทำให้นักลงทุนต่างรอดูสถานการณ์ก่อนจะพิจารณาการลงทุนในตลาดหุ้นไทย
โดยดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับตัวแตะระดับสูงสุดที่ 397.50 บาท ต่ำสุดที่ 387.95 จุด ก่อนจะปิดการซื้อขายที่ 392.87 จุด ลดลงจากวันก่อนแค่ 0.05% หรือคิดเป็น 0.01% มูลค่าการซื้อขายค่อนเข้าบางเบาที่ 8,771.34 ล้านบาท ขณะที่นักลงทุนต่างประเทศยังคงมียอดขายสุทธิ 1,772.91 ล้านบาท นักลงทุนสถาบันซื้อสุทธิ 702.28 ล้านบาท และนักลงทุนรายย่อยซื้อสุทธิ 1,070.63 ล้านบาท
จากการที่นักลงทุนต่างประเทศเทขายหุ้นไทยออกมาอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ยอดขายสุทธิตั้งแต่ต้นปี – ล่าสุด (4 ธ.ค.) มียอดขายสุทธิรวมทั้งสิ้นกว่า 1.55 แสนล้านบาท
สำหรับหลักทรัพย์ที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงสุด 5 อันดับแรก ได้แก่ บมจ.ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม (PTTEP) ราคาปิดที่ 99 บาท เพิ่มขึ้นจากวันก่อน 1 บาท หรือคิดเป็น 1.02% มูลค่าการซื้อขาย 1,278.87 ล้านบาท บมจ.ปตท. (PTT) ปิดที่ 144 บาท ไม่เปลี่ยนแปลงจากวันก่อน มูลค่าการซื้อขาย 1,183.67 ล้านบาท และบมจ.บ้านปู (BANPU) ปิดที่ 183 บาท เพิ่มขึ้น 3 บาท หรือ 1.67% มูลค่าการซื้อขาย 1,039.31 ล้านบาท
นายเกียรติก้อง เดโช ผู้ช่วยผู้อำนวยการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ซิกโก้ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ดัชนีตลาดหลักทรัพย์วานนี้ (4 ธ.ค.) แกว่งตัวอยู่ในกรอบแคบๆ ตามทิศทางตลาดในภูมิภาคเอเชีย โดยมีแรงซื้อของนักลงทุนเข้ามาในกลุ่มพลังงาน จากก่อนหน้าที่ราคาหุ้นกลุ่มพลังงานได้ปรับตัวลงมาค่อนข้างมาก รวมทั้งนักลงทุนได้คาดการณ์ว่าในสัปดาห์หน้าทางการสหรัฐฯ จะมีมาตรการออกมาช่วยเหลือกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ที่กำลังประสบปัญหา
ทั้งนี้ ปัญหาการเมืองภายในประเทศในสัปดาห์นี้เริ่มผ่อนคลายลง เนื่องจากพรรคร่วมรัฐบาลอยู่ระหว่างการเลือกนายกรัฐมนตรีคนใหม่ ประกอบกับกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยขับไล่เผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ได้สลายการชุมนุมที่บริเวณลานคนเมือง หน้าศาลากลางที่ว่าการกรุงเทพมหานคร เพื่อเตรียมเฉลิมฉลองในงานพระราชพิธีเฉลิมประชนมพรรษาของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในวัน 5 ธันวาคมนี้
สำหรับแนวโน้มดัชนีตลาดหุ้นไทยในสัปดาห์หน้า (8 ธ.ค.) คาดว่าตลาดยังคงทรงตัว โดยนักลงทุนต้องจับตาดูท่าทีของรัฐบาลสหรัฐฯ ว่าจะมีแผนช่วยเหลือกลุ่มธุรกิจยานยนต์ที่กำลังประสบปัญหาหรือไม่ รวมถึงตัวเลขการว่างวานที่กำลังจะทยอยประกาศออกมา ขณะที่ปัจจัยในประเทศยังต้องติดตามความคืบหน้าการคัดเลือกผู้ที่จะมาดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคนใหม่
“หากการประกาศตัวเลขการว่างงานของสหรัฐในวัน ( 6 ธ.ค.) ออกมาไม่สูง และรัฐบาลมีการอัดฉีดเม็ดเงินช่วยเหลืออุตสาหกรรมยานยนต์นั้นถือเป็นข่าวดี รวมถึงไม่มีเหตุการณ์รุนแรงเกิดขึ้นในประเทศ คาดว่าดัชนีดีดขึ้นมายืนอยู่ระดับ 400 จุด ทั้งนี้ได้ประเมินแนวรับไว้ที่ 390 จุด และแนวต้านที่ 410 จุด” นายเกียรติก้อง กล่าว
นายภูวดล ลาภอุดมสุข ผู้อำนวยการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล. เอเซียพลัส จำกัด (มหาชน) หรือ ASP กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยยังคงผันผวน ซึ่งเป็นไปในทิศทางเดียวกับตลาดหุ้นเอเชียที่ปรับตัวอยู่ทั้งในแดนบวกและแดนลบ เนื่องจากไม่มีปัจจัยบวกเข้ามาหนุนตลาด อีกทั้งนักลงทุนยังรอดูการเลือกนายกรัฐมนตรีคนใหม่ และคณะรัฐมนตรีว่าจะออกมาแบบใด
ทั้งนี้ ปัจจัยต่างประเทศยังนิ่งไม่มีความเคลื่อนไหว เนื่องจากสภาพเศรษฐกิจทั่วโลกยังอยู่ในช่วงของการชะลอตัว เนื่องจากตลาดยังคงรอดูท่าทีของสภาคองกรส ว่าจะมีแผนออกมาเพื่อกู้วิฤตในกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์หรือไม่
สำหรับแนวโน้มตลาดหลักทรัพย์ในสัปดาห์หน้า คาดว่ายังคงปรับตัวในทิศทางเดียวกับตลาดหุ้นต่างประเทศ และควรจับตาผลการเลือกนายกรัฐมนตรีว่าใครจะได้มาดำรงตำแหน่งนี้ ดังนั้นนักลงทุนระยะให้ทยอยหากดัชนีลงมาต่ำกว่าที่ระดับ 380 จุด โดยมีแนวรับอยู่ที่ 380 จุด และแนวต้านอยู่ที่ 400 จุด
ขณะที่นางสาวปองรัตน์ รัตนะตวณานนท์ ผู้อำนวยการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล. บัวหลวง จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ดัชนีตลาดหุ้นไทยวานนี้เคลื่อนไหวอยู่ในกรอบแคบ เนื่องจากไม่มีปัจจัยบวกเข้ากระตุ้นการลงทุน และจากแรงเทขายเพื่อปรับพอร์ตของนักลงทุนต่างชาติก่อนที่เข้าสู่ช่วงวันหยุดยาวในสิ้นปี ทั้งนี้ปัญหาการเมืองภายในประเทศ เริ่มคลายความวิตกกังวล จึงไม่มีผลกระทบกับตลาดมากนัก เนื่องจากช่วงนี้อยู่ระหว่างการเลือกนายกรัฐมนตรีคนใหม่
สำหรับแนวโน้มดัชนีตลาดหุ้นไทยในสัปดาห์หน้า คาดว่ายังทรงตัว ซึ่งให้จับตาการประชุมเลือกเพื่อเลือกนายกรัฐมนตรีคนใหม่ และคณะรัฐมนตรีชุดใหม่ว่าจะมีหน้าตาแบบใด ซึ่งประเมินแนวรับที่ 380 จุด ส่วนแนวต้านที่ 400 จุด