xs
xsm
sm
md
lg

AYF หวังแบงก์หนุนขายกองทุน

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

เอวายเอฟ เผยแผนปีวัว เน้นกองทุนตราสารหนี้ความเสี่ยงต่ำ หนีความผันผวน พร้อมทั้งหยิบกองทุนเก่า ปัดฝุ่นทำการตลาด รองรับนักลงทุนระยะยาว ที่เห็นโอกาสที่ดัชนีหุ้นปรับลงไปมากแล้ว ส่วนแผนออกเอฟไอเอฟ ต้องเลื่อนออกไปไม่มีกำหนด เพื่อรอความชัดเจน หวังปีหน้าแบงก์แม่ สนับสนุนขายโพรดักส์ผ่านเครือข่ายสาขา หุ้นเอยูเอ็มโต ด้านกองทุนตราสารหนี้ ที่ลงทุนบี/อี TSFC ล่าสุด กองที่ครบดีล ได้เงินคืนแล้ว

นายฉัตรพี ตันติเฉลิม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) อยุธยา จำกัด หรือเอวายเอฟ เปิดเผยว่า แผนงานของเอวายเอฟในปีหน้า ยังคงเน้นกองทุนที่มีรูปแบบไม่ซับซ้อนในกลุ่มกองทุนตราสารหนี้มานำเสนอให้เป็นทางเลือกกับนักลงทุน รวมทั้งการนำกองทุนหุ้นเดิมที่มีอยู่แล้วมาทำการตลาดใหม่อีกครั้ง เพราะมองว่าในยามที่ตลาดหุ้นปรับตัวลงมาเช่นนี้เป็นจังหวะที่ดีในการที่จะเข้าไปลงทุน หากมองเป็นการลงทุนระยะยาว รวมถึงการขายกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) และกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF) อย่างต่อเนื่องด้วย

สำหรับกองทุนที่ไปลงทุนในต่างประเทศ (FIF) คงต้องชะลอแผนการออกกองทุนออกไปก่อน รวมถึงกองทุนรวมสินค้าโภคภัณฑ์ที่เคยวางแผนไว้ด้วยเช่นเดียวกัน อย่างไรก็ตาม บริษัทมีความสนใจที่จะออกกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ที่ลงทุนในต่างประเทศ (REIT) เพราะมองว่าเป็นโอกาสที่ดีหลังจากที่ราคาอสังหาริมทรัพย์ทั่วโลกปรับตัวลงมาค่อนข้างมาก ซึ่งในเบื้องต้นเราคงจะต้องศึกษาดูก่อนแต่มีความสนใจโดยจะโฟกัสเป็นภูมิภาคๆ ไป เช่น สหรัฐ หรือเอเชีย อย่างไรก็ตามในส่วนของกองทุน FIF คงต้องชะลอออกไปก่อนเพื่อรอให้สถานการณ์ต่างๆ มีความชัดเจนขึ้นมากกว่านี้

“ปีหน้าทางธนาคารกรุงศรีอยุธยาซึ่งเป็นแบงก์แม่ของบริษัทได้น่าจะให้การสนับสนุนการขายโพรดักส์ของบริษัทผ่านเครือข่ายธนาคารได้ดีมากขึ้นกว่าปีนี้ และเราได้มีการทำงานประสานกันมากขึ้นกับทางแบงก์แม่ซึ่งน่าจะส่งผลให้สินทรัพย์สุทธิภายใต้การบริหารของบริษัทเติบโตได้ตามอุตสาหกรรมเช่นเดียวกัน”นายฉัตรพีกล่าว

นายฉัตรพีกล่าวว่า ช่วงที่ผ่านมาภาวะตลาดหุ้นทั้งในและต่างประเทศไม่เอื้ออำนายต่อการทำการตลาดให้กับกองทุนเปิดอยุธยาทุนทวี5 (AYFTW5) ซึ่งเป็นกองทุนร่วมลงทุนที่บริษัทได้เสนอไว้กับตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) แต่ในช่วงที่ผ่านมา ก็มีนักลงทุนที่สนใจทั้งที่เป็นรายย่อยและสถาบันทยอยเข้ามาลงทุนเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ โดยผ่านช่องทางการจัดจำหน่ายของบล.เกียรตินาคิน

อย่างไรก็ตาม ในจังหวะที่ตลาดหุ้นปรับตัวลงแรงจะมีแรงซื้อเข้ามาตลอด ในส่วนของนักลงทุนสถาบันเองมีความสนใจที่จะเข้าร่วมลงทุนจำนวนมากแต่ติดขัดที่กองทุน AYFTW5 มีขนาดกองทุนค่อนข้างเล็กประมาณ 95 ล้านบาท เท่านั้น ทำให้นักลงทุนสถาบันที่จะเข้ามาลงทุนมีความไม่สะดวกในการลงทุน เพราะติดเงื่อนไขของบริษัทเอง ที่ห้ามมีสัดส่วนการลงทุนในแต่ละกองทุนเกินกี่เปอร์เซ็นต์ เป็นต้น สาเหตุดังกล่าว จึงชะลอการลงทุนออกไปก่อน แต่บริษัทยังมั่นใจว่าจะสามารถระดมทุนให้กับกองทุน AYFTW5 ได้ 300 ล้านบาท ตามเงื่อนไขอย่างแน่นอน

สำหรับกองทุนตราสารหนี้ของบริษัท ที่เข้าไปลงทุนในตั๋วสัญญาใช้เงิน (บี/อี) ของบริษัทหลักทรัพย์เพื่อธุรกิจหลักทรัพย์ จำกัด (TSFC) นั้น ในส่วนของกองทุนที่ครบกำหนดชำระหนี้ ขณะนี้กองทุนที่ครบอายุการลงทุน ได้รับเงินครบตามจำนวนที่ลงทุนแล้ว ซึ่งเงินลงทุนที่ครบดีลดังกล่าว ไม่มีการลงทุนต่อในตั๋วบี/อีของ TSFC แต่อย่างใด เพราะทาง TSFC เอง ก็ไม่ได้ออกตั๋วเพิ่ม

นายฉัตรพี กล่าวเสริมว่า บทบาทของสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ในช่วงที่ผ่านมา ถือว่าเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น มีการรับฟังข้อมูลจากทางผู้ประกอบการมากขึ้น แต่การปรับเปลี่ยนกฎกติกาบางครั้ง ก็อยากจะให้ทันต่อสถานการณ์ด้วย แม้จะเข้าใจว่าทางสำนักงานก.ล.ต.มีความเป็นห่วงเป็นใยผู้ลงทุน แต่ถ้าห่วงมากจนเกินไปบางครั้งก็ไม่เอื้อำนวยให้กับทางผู้ประกอบการในการดำเนินธุรกิจเช่นเดียวกัน ซึ่งสุดท้ายประชาชนผู้ลงทุนก็จะไม่ได้ประโยชน์อะไร จึงอยากให้ทางสำนักงานก.ล.ต.มีความยืดหยุ่นให้กับทางผู้ประกอบการได้มากขึ้น

โดยประเด็นที่อยากให้สำนักงานก.ล.ต พิจารณา เช่น ช่วงเวลาของการเปิดเสนอขายหน่วยลงทุนครั้งแรก (ไอพีโอ) ของกองทุน โดยตามหลักเกณฑ์กองทุนที่เปิดขาย จะต้องเปิดให้ครบ 7 วัน ซึ่งบางครั้งกว่าจะเสนอขายจนปิดการขาย อัตราดอกเบี้ยในตลาดก็เปลี่ยนแปลงไปมากแล้ว ซึ่งภาวะที่เปลี่ยนไปเช่นนี้ ในบางครั้งเราก็อยากจะปิดการขายได้ก่อนครบไอพีโอ 7 วัน เพราะนั้นอาจจะเป็นจังหวะการลงทุนของกองทุนที่เกิดประโยชน์สูงสุดกับผู้ถือหน่วยลงทุนก็ได้ ขณะเดียวกันการปรับเปลี่ยนที่ไม่สอดคล้องกับเหตุการณ์ก็อาจจะทำให้การพัฒนาโพรดักท์ใหม่ๆ เกิดขึ้นได้ยาก เช่น กองทุนที่ไปลงทุนในกองทุนป้องกันความเสี่ยง (Hedge Fund) เป็นต้น ก็จะเกิดยาก โดยภาพรวมถือว่าดีขึ้นแต่อยากให้สำนักงานก.ล.ต.มีความยืดหยุ่นมากกว่านี้
กำลังโหลดความคิดเห็น