แบงก์กรุงศรีฯเปิดเผยธุรกิจปีหน้าตั้งเป้าหมายสินเชื่อรวมเพิ่มอีก 7%เน้นจับกลุ่มธุรกิจรายย่อยเป็นหลัก หวังเพิ่มสัดส่วนเป็น 50%ของสินเชื่อรวมภายในปี 53 ด้วยการเติบโตแบบปกติและการซื้อเข้ากิจการ ชี้อาจเห็นธปท.ลดดอกเบี้ยในการประชุมรอบหน้า หวังเห็นการลงทุนภาครัฐครึ่งแรกปีหน้า
นายตัน คอง คูน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด(มหาชน)หรือ BAY เปิดเผยว่า ธนาคารได้ตั้งเป้าหมายการเติบโตของสินเชื่อรวมในปีหน้าไว้ที่ 7% โดยอิงกับอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ(จีดีพี)ที่คาดว่าในปีหน้าจะมีการขยายตัวอยู่ที่ 3.5-4.5% ส่วนเป้าหมายการเติบโตของสินเชื่อรายย่อยคาดว่าจะมีการขยายตัว 2-3 เท่าของจีดีพี สินเชื่อรายใหญ่จะขยายตัว 1-1.5 เท่าของจีดีพี และสินเชื่อเอสเอ็มอีจะขยายตัวที่ 1-2 เท่าของจีดีพี โดยการดำเนินธุรกิจในปีหน้าธนาคารจะยังเน้นในส่วนของสินเชื่อรายย่อยเป็นหลัก
สำหรับสัดส่วนสินเชื่อรายย่อยเมื่อเทียบกับสินเชื่อรวมของธนาคารก่อนที่กลุ่มจีอีจะเข้ามาถือหุ้นนั้นมีสัดส่วนอยู่ที่ 17% และปัจจุบันสัดส่วนดังกล่าวได้เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 35% โดยธนาคารตั้งเป้าหมายว่าจะเพิ่มสัดส่วนของสินเชื่อรายย่อยให้อยู่ที่ 50% ภายในปี 2553
ทั้งนี้กลยุทธ์ที่ธนาคารจะนำมาใช้เพื่อขยายสัดส่วนดังกล่าวให้ได้ตามเป้าหมายนั้น จะมาจากการใช้กลยุทธ์การเติบโตแบบปกติและการเติบโตโดยการเข้าซื้อกิจการเช่นเดียวกับการเข้าซื้อหุ้น 100% ในบริษัท จีอี แคปปิตอล ออโต้ ลีส จำกัด (มหาชน) หรือGECAL โดยคาดว่าภายใน 9 เดือนนี้ธนาคารน่าจะได้มีการซื้อกิจการเพิ่มเข้ามาเพราะมองว่าตลาดน่าจะมีโอกาสในการขายทรัพย์สินออกมา ซึ่งหากเป็นกิจการที่สอดคล้องกับธุรกิจของธนาคารและมีราคาที่เหมาะสมธนาคารก็จะเข้าไปลงทุน อีกทั้งธนาคารมีเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยงสูงถึง 18% จึงไม่มีปัญหาต่อาการเข้าไปซื้อกิจการ
"ภาพรวมทั่วโลกจะเห็นว่ามีการชะลอตัวในการให้สินเชื่อจึงน่าจะมีส่วนหนึ่งที่หันมาใช้สินเชื่อในประเทศ แต่การตั้งเป้าสินเชื่อก็เป็นการตั้งตามจีดีพี ถ้าเศรษฐกิจรวมโตเราก็โตแต่ถ้าเศรษฐกิจไม่โตเราก็ไม่สามาโตได้หลายเท่าตัวจึงเป็นเป้าหมายที่สะท้อนความจริง และธนาคารก็ได้ตั้งเป้าหมายการเติบโตของรายย่อยมากกว่ารายใหญ่เนื่องจากเป็นการกระจายความเสี่ยงจากฐานลูกค้าที่มีหลายหลาย"นายตัน กล่าว
นายตัน กล่าวถึงนโยบายการลงทุนของกลุ่มจีอี ในธนาคารอีกว่าว่า กลุ่มจีอียังไม่มีการเปลี่ยนแปลงเป้าหมายการลงทุนในธนาคารซึ่งกลยุทธ์การลงทุนของกลุ่มจีอียังคงให้ความสำคัญกับธุรกิจธนาคารเพราะธุรกิจธนาคารสามารถระดมทุนได้เองด้วยการหาเงินฝาก นอกจากนี้ตัวจีอีเองก็มีผลประกอบการที่ดีเป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้โดย 9 เดือนที่ผ่านมาจีอีมีกำไร 9 พันล้านเหรียญ ซึ่งอีก 3 เดือนที่เหลือก็น่าจะสามารถทำกำไรได้ตามเป้าหมายที่วางไว้ว่าทั้งปีจะมีกำไร1.2 หมื่นล้านเหรียญอีกทั้งอันดับความน่าเชื่อถือของจีอีก็ยังอยู่ที่ระดับ AAA
สำหรับเศรษฐกิจไทยขณะนี้สิ่งที่ต้องดูคือด้านนโยบายการเงินและนโยบายการคลัง โดยส่วนของนโยบายการเงินซึ่งเกี่ยวกับอัตราดอกเบี้ยนั้น ขณะนี้หลายประเทศได้เริ่มลดอัตราดอกเบี้ยลงมาแล้ว ซึ่งส่วนของไทยหากพิจารณาจากเศรษฐกิจแล้วมองว่า ทางธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) น่าจะมีการพิจารณาปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงในการประชุมรอบหน้านี้ ส่วนนโยบายการคลังนั้นทางภาครัฐน่าจะมีการลงทุนในโครงการขนาดใหญ่ ซึ่งหวังว่าภายในครึ่งปีแรกของปีหน้าจะได้เห็นการลงทุนในโครงการดังกล่าว
ด้านนายรอยย์ กุนารา ประธานคณะเจ้าหน้าที่ด้านลูกค้าบุคคล ธนาคารกรุงศรีอยุธยา กล่าวว่า ปัจจุบันธนาคารมีฐานสินเชื่อรายย่อยอยู่ที่ 185,000 ล้านบาท โดยแบ่งเป็นฐานสินเชื่อรายย่อย 80,000 ล้านบาท ส่วนที่เหลืออีก 105,000 ล้านบาท เป็นธุรกิจสินเชื่อเช่าซื้อ หรือ GECAL ซึ่งในส่วนสินเชื่อรายย่อยนั้นปัจจุบันประกอบด้วยฐานสินเชื่อที่อยู่อาศัยมีอยู่ 60,000 ล้านบาท ในขณะเดียวกันก็ตั้งเป้าหมายว่าในปีหน้าสินเชื่อที่อยู่อาศัยของธนาคารจะเติบโต 6-7% หรือเติบโตเป็น 3 เท่าของจีดีพี แต่อย่างไรก็ตาม การเติบโตด้านสินเชื่อเช่าซื้อของธนาคารในปีหน้านั้นคาดว่าจะโตแบบคงที่ ซึ่งธนาคารจะเน้นปล่อยสินเชื่อให้ลูกค้าที่มีคุณภาพและมีความรับผิดชอบในการชำระหนี้เป็นสำคัญ
นายตัน คอง คูน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด(มหาชน)หรือ BAY เปิดเผยว่า ธนาคารได้ตั้งเป้าหมายการเติบโตของสินเชื่อรวมในปีหน้าไว้ที่ 7% โดยอิงกับอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ(จีดีพี)ที่คาดว่าในปีหน้าจะมีการขยายตัวอยู่ที่ 3.5-4.5% ส่วนเป้าหมายการเติบโตของสินเชื่อรายย่อยคาดว่าจะมีการขยายตัว 2-3 เท่าของจีดีพี สินเชื่อรายใหญ่จะขยายตัว 1-1.5 เท่าของจีดีพี และสินเชื่อเอสเอ็มอีจะขยายตัวที่ 1-2 เท่าของจีดีพี โดยการดำเนินธุรกิจในปีหน้าธนาคารจะยังเน้นในส่วนของสินเชื่อรายย่อยเป็นหลัก
สำหรับสัดส่วนสินเชื่อรายย่อยเมื่อเทียบกับสินเชื่อรวมของธนาคารก่อนที่กลุ่มจีอีจะเข้ามาถือหุ้นนั้นมีสัดส่วนอยู่ที่ 17% และปัจจุบันสัดส่วนดังกล่าวได้เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 35% โดยธนาคารตั้งเป้าหมายว่าจะเพิ่มสัดส่วนของสินเชื่อรายย่อยให้อยู่ที่ 50% ภายในปี 2553
ทั้งนี้กลยุทธ์ที่ธนาคารจะนำมาใช้เพื่อขยายสัดส่วนดังกล่าวให้ได้ตามเป้าหมายนั้น จะมาจากการใช้กลยุทธ์การเติบโตแบบปกติและการเติบโตโดยการเข้าซื้อกิจการเช่นเดียวกับการเข้าซื้อหุ้น 100% ในบริษัท จีอี แคปปิตอล ออโต้ ลีส จำกัด (มหาชน) หรือGECAL โดยคาดว่าภายใน 9 เดือนนี้ธนาคารน่าจะได้มีการซื้อกิจการเพิ่มเข้ามาเพราะมองว่าตลาดน่าจะมีโอกาสในการขายทรัพย์สินออกมา ซึ่งหากเป็นกิจการที่สอดคล้องกับธุรกิจของธนาคารและมีราคาที่เหมาะสมธนาคารก็จะเข้าไปลงทุน อีกทั้งธนาคารมีเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยงสูงถึง 18% จึงไม่มีปัญหาต่อาการเข้าไปซื้อกิจการ
"ภาพรวมทั่วโลกจะเห็นว่ามีการชะลอตัวในการให้สินเชื่อจึงน่าจะมีส่วนหนึ่งที่หันมาใช้สินเชื่อในประเทศ แต่การตั้งเป้าสินเชื่อก็เป็นการตั้งตามจีดีพี ถ้าเศรษฐกิจรวมโตเราก็โตแต่ถ้าเศรษฐกิจไม่โตเราก็ไม่สามาโตได้หลายเท่าตัวจึงเป็นเป้าหมายที่สะท้อนความจริง และธนาคารก็ได้ตั้งเป้าหมายการเติบโตของรายย่อยมากกว่ารายใหญ่เนื่องจากเป็นการกระจายความเสี่ยงจากฐานลูกค้าที่มีหลายหลาย"นายตัน กล่าว
นายตัน กล่าวถึงนโยบายการลงทุนของกลุ่มจีอี ในธนาคารอีกว่าว่า กลุ่มจีอียังไม่มีการเปลี่ยนแปลงเป้าหมายการลงทุนในธนาคารซึ่งกลยุทธ์การลงทุนของกลุ่มจีอียังคงให้ความสำคัญกับธุรกิจธนาคารเพราะธุรกิจธนาคารสามารถระดมทุนได้เองด้วยการหาเงินฝาก นอกจากนี้ตัวจีอีเองก็มีผลประกอบการที่ดีเป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้โดย 9 เดือนที่ผ่านมาจีอีมีกำไร 9 พันล้านเหรียญ ซึ่งอีก 3 เดือนที่เหลือก็น่าจะสามารถทำกำไรได้ตามเป้าหมายที่วางไว้ว่าทั้งปีจะมีกำไร1.2 หมื่นล้านเหรียญอีกทั้งอันดับความน่าเชื่อถือของจีอีก็ยังอยู่ที่ระดับ AAA
สำหรับเศรษฐกิจไทยขณะนี้สิ่งที่ต้องดูคือด้านนโยบายการเงินและนโยบายการคลัง โดยส่วนของนโยบายการเงินซึ่งเกี่ยวกับอัตราดอกเบี้ยนั้น ขณะนี้หลายประเทศได้เริ่มลดอัตราดอกเบี้ยลงมาแล้ว ซึ่งส่วนของไทยหากพิจารณาจากเศรษฐกิจแล้วมองว่า ทางธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) น่าจะมีการพิจารณาปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงในการประชุมรอบหน้านี้ ส่วนนโยบายการคลังนั้นทางภาครัฐน่าจะมีการลงทุนในโครงการขนาดใหญ่ ซึ่งหวังว่าภายในครึ่งปีแรกของปีหน้าจะได้เห็นการลงทุนในโครงการดังกล่าว
ด้านนายรอยย์ กุนารา ประธานคณะเจ้าหน้าที่ด้านลูกค้าบุคคล ธนาคารกรุงศรีอยุธยา กล่าวว่า ปัจจุบันธนาคารมีฐานสินเชื่อรายย่อยอยู่ที่ 185,000 ล้านบาท โดยแบ่งเป็นฐานสินเชื่อรายย่อย 80,000 ล้านบาท ส่วนที่เหลืออีก 105,000 ล้านบาท เป็นธุรกิจสินเชื่อเช่าซื้อ หรือ GECAL ซึ่งในส่วนสินเชื่อรายย่อยนั้นปัจจุบันประกอบด้วยฐานสินเชื่อที่อยู่อาศัยมีอยู่ 60,000 ล้านบาท ในขณะเดียวกันก็ตั้งเป้าหมายว่าในปีหน้าสินเชื่อที่อยู่อาศัยของธนาคารจะเติบโต 6-7% หรือเติบโตเป็น 3 เท่าของจีดีพี แต่อย่างไรก็ตาม การเติบโตด้านสินเชื่อเช่าซื้อของธนาคารในปีหน้านั้นคาดว่าจะโตแบบคงที่ ซึ่งธนาคารจะเน้นปล่อยสินเชื่อให้ลูกค้าที่มีคุณภาพและมีความรับผิดชอบในการชำระหนี้เป็นสำคัญ