ธปท.ผ่อนคลายเกณฑ์ให้สถาบันการเงินใช้ดุลยพินิจในการปล่อยกู้ให้แก่ลูกหนี้รายใหญ่ โดยให้ 4 แนวทางในการพิสูจน์ผู้ที่เกี่ยวข้องตามหลักเกณฑ์การกำกับลูกหนี้รายใหญ่ เพื่อไม่ให้สถาบันการเงินมีความเสี่ยงในการปล่อยสินเชื่อกระจุกตัวรายหนึ่งรายใดมากเกินไป ด้านผู้ว่าการธปท.ระบุแบงก์พาณิชย์มีอัตราการขยายตัวในระดับที่ดีอยู่แล้ว และมั่นใจมีสภาพคล่องเพียงพอหากภาคธุรกิจจะหันมากู้เงินในประเทศมากขึ้น
นายเกริก วณิกกุล ผู้ช่วยผู้ว่าการสายนโยบายการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.)เปิดเผยว่า ธปท.ได้ลงนามในหนังสือเวียนถึงสถาบันการเงินทุกแห่งเรื่อง“แนวทางในการพิสูจน์ผู้ที่เกี่ยวข้องตามหลักเกณฑ์การกำกับลูกหนี้รายใหญ่” โดยธปท.ระบุว่าเนื่องจากธปท.พบว่าในระบบสถาบันการเงินไทยมีลูกหนี้หลายบริษัทที่มีกรรมการที่มีอำนาจลงนามเป็นบุคคลเดียวกัน ซึ่งโดยหลักการการพิจารณาผู้ที่เกี่ยวข้องตามหลักเกณฑ์การกำกับลูกหนี้รายใหญ่ตามมาตรา (50)สถาบันการเงินต้องจัดบริษัทดังกล่าวเป็นบริษัทในกลุ่มเดียวกัน และจำกัดการให้สินเชื่อลงทุนการก่อภาระผูกพันหรือทำธุรกรรมที่มีลักษณะคล้ายการให้สินเชื่อของทุกบริษัทรวมกันเกิน 25%ของเงินกองทุนของสถาบันการเงินนั้น
อย่างไรก็ตาม ในความเป็นจริงบริษัทที่มีกรรมการที่มีอำนาจลงนามเป็นบุคคลเดียวกันนั้นอาจไม่ได้มีความเกี่ยวโยงสัมพันธ์กันเลยทั้งในด้านความเป็นเจ้าของและความเสี่ยงซึ่งหากจะต้องถูกจัดกลุ่มให้เสมือนเป็นลูกหนี้รายเดียวกันแล้วก็คงจะไม่ตรงกับเจตนารมณ์ของกฎหมายที่มุ่งไม่ให้สถาบันการเงินมีความเสี่ยงสินเชื่อกระจุกตัวที่ลูกหนี้รายหนึ่งรายใดมากเกินไป ดังนั้นธปท.จึงอนุญาตให้สถาบันการเงินใช้ดุลยพินิจในเรื่องดังกล่าวได้
หากพิจารณาความเป็นเจ้าของหรือการมีอำนาจควบคุมกิจการของกรรมการในบริษัทเหล่านั้นว่าไม่มีความเชื่อมโยงหรือเป็นบุคคลเดียวกัน(Single risk) ก็ไม่ต้องจัดบริษัทดังกล่าวเป็นลูกหนี้กลุ่มเดียวกันทั้งนี้ธปท.เห็นว่าหลักสำคัญในการพิสูจน์ความเกี่ยวข้องของลูกหนี้ขอให้สถาบันการเงินพึงตระหนักถึงความเสี่ยงของการให้สินเชื่อว่าในที่สุดแล้วผู้รับความเสี่ยงเป็นบุคคลใดและบริษัทที่เข้าข่ายมีความเกี่ยวข้องกันเหล่านั้นมีข้อบ่งชี้เชื่อมโยงจนเสมือนเป็นความเสี่ยงที่เกิดจากการให้สินเชื่อแก่บุคคลเดียวกันในลักษณะSingle risk หรือไม่
โดยในเบื้องต้นขอให้สถาบันการเงินพิจารณาข้อบ่งชี้ตามแนวทางในการพิสูจน์ผู้ที่เกี่ยวข้องตามหลักเกณฑ์การกำกับลูกหนี้รายใหญ่4 ข้อด้วยกัน ได้แก่ 1.ผู้รับสินเชื่อที่แท้จริงเป็นใคร2.ผู้ที่เป็นเจ้าของกิจการเป็นกลุ่มบุคคลเดียวกันหรือไม่3.ความเกี่ยวโยงด้านบุคคลผู้จัดตั้งสถานที่ตั้งของบริษัทและหลักประกันสถาบันการเงินจะต้องพิจารณาข้อเท็จจริงของการจัดตั้งบริษัทและหลักประกันของลูกหนี้ว่ามีข้อบ่งชี้ใดที่อาจระบุได้ว่าบริษัทเหล่านั้นมีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกันเช่นที่ตั้งของบริษัทอยู่ในบริเวณเดียวกันหรือจัดตั้งในที่ดินที่มีเจ้าของเป็นบุคคลเดียวกันหรือข้อเท็จจริงปรากฎว่าบริษัทเหล่านั้นจัดตั้งโดยบุคคลหรือกลุ่มบุคคลเดียวกันหรือมีหลักประกันร่วมกันหรือเกี่ยวข้องกันเป็นต้น และ 4.บริษัทมีการประกอบธุรกิจที่แท้จริงหรือไม่โดยจะต้องพิจารณาวัตถุประสงค์ในการดำเนินธุรกิจของบริษัทว่าเนบริษัทที่จัดตั้งขึ้นมากเพื่อหลีกเลี่ยงการทำธุรกรรมตามกฎหมายหรือเพื่อแสวงหาผลประโยชน์ทางธุรกิจในลักษณะใดลักษณะหนึ่ง
**"ธาริษา"มั่นใจแบงก์มีเงินพอปล่อยกู้**
นางธาริษา วัฒนาเกสผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศ(ธปท.)กล่าวว่า การที่รัฐบาลต้องการให้ธนาคารพาณิชย์กระจายการปล่อยสินเชื่อให้มากขึ้นนั้น การปล่อยสินเชื่อของธนาคารพาณิชย์ในขณะนี้มีแนวโน้มขยายตัวขึ้นโดยข้อมูลล่าสุดเดือนกันยายนเงินกองทุนของระบบธนาคารพาณิชย์เฉลี่ยอยู่ที่13.5%ซึ่งถือว่าเพียงพอต่อความต้องการสินเชื่อแต่ยอมรับว่าการปล่อยสินเชื่อในแต่ละรายภาคอุตสหกรรมมีปริมาณไม่เท่ากันแต่ในส่วนของสินเชื่อเพื่อการบริโภคและสินเชื่อเพื่อภาคธุรกิจยังขยายตัวได้ดีทั้งคู่
สำหรับกรณีที่ ธนาคารพาณิชย์มีความกังวลว่าในระยะต่อไปภาคธุรกิจจะไปกู้เงินในต่างประเทศได้ยากขึ้นและจะหันกลับมากู้เงินในประเทศกันมากขึ้นนั้น มั่นใจว่าธนาคารพาณิชย์จะสามารถปล่อยสินเชื่อให้กับภาคธุรกิจได้ เนื่องจากขณะนี้ธนาคารมีเงินกองทุนของธนาคารพาณิชย์มีมากเพียงพอหรือรับรอบต่อความต้องการสินเชื่อได้
ส่วนนายบารักโอบามาผู้สมัครจากพรรคเดโมแครตได้รับชัยชนะจากการเลือกตั้งตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯก็จะทำให้การเมืองสหรัฐมีความชัดเจนมากขึ้น ส่วนนโยบายด้านเศรษฐกิจเร็วเกินไปที่จะประเมินคงจะต้องรอให้มีการประกาศนโยบายและผู้ที่จะมาเป็นทีมงานว่าจะเป็นใครบ้าง แต่ก็ยอมรับว่าการที่นายโอบามาจะเน้นการดูแลเศรษฐกิจของสหรัฐฯและเร่งแก้ปัญหาวิกฤติสถาบันการเงินที่กำลังเกิดขึ้น ก็คงจะช่วยให้เศรษฐกิจดีขึ้น
“หากเราได้เห็นหน้าตาของทีมงานด้านเศรษฐกิจทุกอย่างก็จะยิ่งชัดเจนมากขึ้นแต่ตอนนี้ถือว่าเร็วเกินไปที่จะประเมินแต่เชื่อว่าทุกคนพยามที่แก้ปัญหาร่วมกันเพื่อให้เศรษฐกิจดีขึ้นและก็น่าจะทำให้เศรษฐกิจทั่วโลกรวมถึงไทยดีขึ้นตามไปด้วย”นางธาริษากล่าว
นายเกริก วณิกกุล ผู้ช่วยผู้ว่าการสายนโยบายการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.)เปิดเผยว่า ธปท.ได้ลงนามในหนังสือเวียนถึงสถาบันการเงินทุกแห่งเรื่อง“แนวทางในการพิสูจน์ผู้ที่เกี่ยวข้องตามหลักเกณฑ์การกำกับลูกหนี้รายใหญ่” โดยธปท.ระบุว่าเนื่องจากธปท.พบว่าในระบบสถาบันการเงินไทยมีลูกหนี้หลายบริษัทที่มีกรรมการที่มีอำนาจลงนามเป็นบุคคลเดียวกัน ซึ่งโดยหลักการการพิจารณาผู้ที่เกี่ยวข้องตามหลักเกณฑ์การกำกับลูกหนี้รายใหญ่ตามมาตรา (50)สถาบันการเงินต้องจัดบริษัทดังกล่าวเป็นบริษัทในกลุ่มเดียวกัน และจำกัดการให้สินเชื่อลงทุนการก่อภาระผูกพันหรือทำธุรกรรมที่มีลักษณะคล้ายการให้สินเชื่อของทุกบริษัทรวมกันเกิน 25%ของเงินกองทุนของสถาบันการเงินนั้น
อย่างไรก็ตาม ในความเป็นจริงบริษัทที่มีกรรมการที่มีอำนาจลงนามเป็นบุคคลเดียวกันนั้นอาจไม่ได้มีความเกี่ยวโยงสัมพันธ์กันเลยทั้งในด้านความเป็นเจ้าของและความเสี่ยงซึ่งหากจะต้องถูกจัดกลุ่มให้เสมือนเป็นลูกหนี้รายเดียวกันแล้วก็คงจะไม่ตรงกับเจตนารมณ์ของกฎหมายที่มุ่งไม่ให้สถาบันการเงินมีความเสี่ยงสินเชื่อกระจุกตัวที่ลูกหนี้รายหนึ่งรายใดมากเกินไป ดังนั้นธปท.จึงอนุญาตให้สถาบันการเงินใช้ดุลยพินิจในเรื่องดังกล่าวได้
หากพิจารณาความเป็นเจ้าของหรือการมีอำนาจควบคุมกิจการของกรรมการในบริษัทเหล่านั้นว่าไม่มีความเชื่อมโยงหรือเป็นบุคคลเดียวกัน(Single risk) ก็ไม่ต้องจัดบริษัทดังกล่าวเป็นลูกหนี้กลุ่มเดียวกันทั้งนี้ธปท.เห็นว่าหลักสำคัญในการพิสูจน์ความเกี่ยวข้องของลูกหนี้ขอให้สถาบันการเงินพึงตระหนักถึงความเสี่ยงของการให้สินเชื่อว่าในที่สุดแล้วผู้รับความเสี่ยงเป็นบุคคลใดและบริษัทที่เข้าข่ายมีความเกี่ยวข้องกันเหล่านั้นมีข้อบ่งชี้เชื่อมโยงจนเสมือนเป็นความเสี่ยงที่เกิดจากการให้สินเชื่อแก่บุคคลเดียวกันในลักษณะSingle risk หรือไม่
โดยในเบื้องต้นขอให้สถาบันการเงินพิจารณาข้อบ่งชี้ตามแนวทางในการพิสูจน์ผู้ที่เกี่ยวข้องตามหลักเกณฑ์การกำกับลูกหนี้รายใหญ่4 ข้อด้วยกัน ได้แก่ 1.ผู้รับสินเชื่อที่แท้จริงเป็นใคร2.ผู้ที่เป็นเจ้าของกิจการเป็นกลุ่มบุคคลเดียวกันหรือไม่3.ความเกี่ยวโยงด้านบุคคลผู้จัดตั้งสถานที่ตั้งของบริษัทและหลักประกันสถาบันการเงินจะต้องพิจารณาข้อเท็จจริงของการจัดตั้งบริษัทและหลักประกันของลูกหนี้ว่ามีข้อบ่งชี้ใดที่อาจระบุได้ว่าบริษัทเหล่านั้นมีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกันเช่นที่ตั้งของบริษัทอยู่ในบริเวณเดียวกันหรือจัดตั้งในที่ดินที่มีเจ้าของเป็นบุคคลเดียวกันหรือข้อเท็จจริงปรากฎว่าบริษัทเหล่านั้นจัดตั้งโดยบุคคลหรือกลุ่มบุคคลเดียวกันหรือมีหลักประกันร่วมกันหรือเกี่ยวข้องกันเป็นต้น และ 4.บริษัทมีการประกอบธุรกิจที่แท้จริงหรือไม่โดยจะต้องพิจารณาวัตถุประสงค์ในการดำเนินธุรกิจของบริษัทว่าเนบริษัทที่จัดตั้งขึ้นมากเพื่อหลีกเลี่ยงการทำธุรกรรมตามกฎหมายหรือเพื่อแสวงหาผลประโยชน์ทางธุรกิจในลักษณะใดลักษณะหนึ่ง
**"ธาริษา"มั่นใจแบงก์มีเงินพอปล่อยกู้**
นางธาริษา วัฒนาเกสผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศ(ธปท.)กล่าวว่า การที่รัฐบาลต้องการให้ธนาคารพาณิชย์กระจายการปล่อยสินเชื่อให้มากขึ้นนั้น การปล่อยสินเชื่อของธนาคารพาณิชย์ในขณะนี้มีแนวโน้มขยายตัวขึ้นโดยข้อมูลล่าสุดเดือนกันยายนเงินกองทุนของระบบธนาคารพาณิชย์เฉลี่ยอยู่ที่13.5%ซึ่งถือว่าเพียงพอต่อความต้องการสินเชื่อแต่ยอมรับว่าการปล่อยสินเชื่อในแต่ละรายภาคอุตสหกรรมมีปริมาณไม่เท่ากันแต่ในส่วนของสินเชื่อเพื่อการบริโภคและสินเชื่อเพื่อภาคธุรกิจยังขยายตัวได้ดีทั้งคู่
สำหรับกรณีที่ ธนาคารพาณิชย์มีความกังวลว่าในระยะต่อไปภาคธุรกิจจะไปกู้เงินในต่างประเทศได้ยากขึ้นและจะหันกลับมากู้เงินในประเทศกันมากขึ้นนั้น มั่นใจว่าธนาคารพาณิชย์จะสามารถปล่อยสินเชื่อให้กับภาคธุรกิจได้ เนื่องจากขณะนี้ธนาคารมีเงินกองทุนของธนาคารพาณิชย์มีมากเพียงพอหรือรับรอบต่อความต้องการสินเชื่อได้
ส่วนนายบารักโอบามาผู้สมัครจากพรรคเดโมแครตได้รับชัยชนะจากการเลือกตั้งตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯก็จะทำให้การเมืองสหรัฐมีความชัดเจนมากขึ้น ส่วนนโยบายด้านเศรษฐกิจเร็วเกินไปที่จะประเมินคงจะต้องรอให้มีการประกาศนโยบายและผู้ที่จะมาเป็นทีมงานว่าจะเป็นใครบ้าง แต่ก็ยอมรับว่าการที่นายโอบามาจะเน้นการดูแลเศรษฐกิจของสหรัฐฯและเร่งแก้ปัญหาวิกฤติสถาบันการเงินที่กำลังเกิดขึ้น ก็คงจะช่วยให้เศรษฐกิจดีขึ้น
“หากเราได้เห็นหน้าตาของทีมงานด้านเศรษฐกิจทุกอย่างก็จะยิ่งชัดเจนมากขึ้นแต่ตอนนี้ถือว่าเร็วเกินไปที่จะประเมินแต่เชื่อว่าทุกคนพยามที่แก้ปัญหาร่วมกันเพื่อให้เศรษฐกิจดีขึ้นและก็น่าจะทำให้เศรษฐกิจทั่วโลกรวมถึงไทยดีขึ้นตามไปด้วย”นางธาริษากล่าว
