บล.ซีมิโก้ ลั่นควบรวมกับบล.เคทีบีเสร็จภายในธ.ค.หากผู้ถือหุ้นไฟเขียว หลังจากธนาคารกรุงไทยเห็นชอบแล้ว "ชัยภัทร" ชี้มาร์เกตแชร์ พุ่งอยู่อันดับที่ 2 รองจาก บล.กิมเอ็ง เหตุลูกค้าโบรเกอร์อื่นชะลอเทรดจากภาวะตลาดหุ้นไม่ดี แต่ลูกค้าบริษัทเทรดปกติ ดันมาร์เกตแชร์เพิ่มขึ้น แจงหากปีนี้ทำได้ 4-5% น่าพอใจแล้ว
นายชัยภัทร ศรีวิสารวาจา ประธานกรรมการบริหารและกรรมการผู้อำนวยการ บริษัทหลักทรัพย์ ซีมิโก้ จำกัด (มหาชน)หรือ ZMICO เปิดเผยว่า บริษัทเตรียมที่จะจัดประชุมผู้ถือหุ้นในเดือนธันวาคมนี้ เพื่อขอมติในการควบรวมกิจการกับบริษัทหลักทรัพย์ (บล.)เคทีบี จำกัด หลังจากที่บริษัทเข้าไปถือหุ้นในสัดส่วน48.81% และเตรียมที่จะเข้าไปเจรจากับนักลงทุนรายย่อยเพื่อให้ถือหุ้นเพิ่มเป็น 50% และทางทางธนาคารกรุงไทย ได้อนุมัติในการดำเนินการดังกล่าวแล้ว
สำหรับชื่อบริษัทนั้นจะต้องมีการหารือกับทางธนาคารกรุงไทยอีกครั้งว่าจะใช้ชื่อว่าอะไร แต่แน่นอนจะต้องมีชื่อซีมิโก้ร่วมอยู่ด้วย โดยขณะนี้บริษัทได้มีการดำเนินการในเรื่องรายละเอียดเอกสารต่าง ซึ่งหากทางผู้ถือหุ้นของบล.ซีมิโก้อนุมัติให้ควบรวมกิจการได้ ก็คาดว่าจะดำเนินการควบรวมกิจการเสร็จภายในเดือนธันวาคมนี้ ซึ่งจะธนาคารกรุงไทยก็จะเข้ามาช่วยสนันสนุนทางธุรกิจหลักทรัพย์ในเรื่องการแนะนำฐานลูกค้าใหม่ให้ ซึ่งทำให้บริษัทมีความแข็งแกร่งมากขึ้น
ทั้งนี้ การที่ส่วนแบ่งการตลาด (มาร์เกตแชร์)ของบริษัทในเดือนตุลาคมปรับตัวเพิ่มขึ้นอยู่ในอันดับที่ 2 มีมาร์เกตแชร์อยู่ที่ 6.32% รองจากบล.กิมเอ็ง (ประเทศไทย) ซึ่งกุมมาร์เกตแชร์อยู่ที่ 8.21% ขณะที่เมื่อเดือนกันยายนบริษัทมีมาร์เกตแชร์ที่ 5.39% ซึ่งอยู่ในอันดับที่ 3 โดยการที่มาร์เกตแชร์ของบริษัทในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมาได้ปรับตัวเพิ่มขึ้นสูง เนื่องจาก ลูกค้าของบริษัทมีการซื้อขายหุ้นตามปกติ สวนทางกับ บล.อื่น เพราะเหตุจากภาวะที่ไม่ดีอาจจะทำให้ลูกค้าของบล.อื่นมีการชะลอการซื้อขายหรือหยุดการซื้อขายหุ้น จึงทำให้ มาร์เกตแชร์ของบริษัทมีการปรับตัวเพิ่มขึ้น
"การที่มาร์เกตแชร์ของบริษัทมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นในช่วง 2 เดือนนั้น ไม่ได้มีอะไร ลูกค้าของบริษัทก็ยังคงซื้อขายในระดับปกติไม่ได้เพิ่มขึ้น แต่การที่ภาวะตลาดหุ้นไม่ดีอาจจะทำให้ลูกค้าของโบรกเกอร์อื่นๆ ชะลอการลงทุน หรือหยุดเทรด ทำให้สัดส่วนมาร์เกตแชร์ของบริษัทปรับตัวเพิ่มขึ้นมา" นายชัยภัทร กล่าว
สำหรับส่วนแบ่งมาร์เกตแชร์ของบริษัทตั้งแต่ต้นปี51 ถึงขณะนี้อยู่ที่ระดับ 4.44% หรืออันดับที่ 5 แต่หากปีนี้ทำได้ที่ระดับ 4-5% ถือว่าเป็นระดับที่น่าพอใจ เพราะภาวะตลาดหุ้นที่ไม่ดี ส่วนการที่บริษัทมีแผนที่จะเข้าไปลงทุนตรงในบริษัททั้งในตลาดหลักทรัพย์ฯและนอกตลาดนั้น ขณะนี้บริษัทอยู่ระหว่างการศึกษาที่จะเข้าไปลงทุน หลังจากยคณะกรรมการบริษัทอนุมัติวงเงินการทำธุรกิจดังกล่าว 500 ล้านบาท ซึ่งที่ผ่านมาได้ลงทุนไปแล้ว 150 ล้านบาท
นายชัยภัทร ศรีวิสารวาจา ประธานกรรมการบริหารและกรรมการผู้อำนวยการ บริษัทหลักทรัพย์ ซีมิโก้ จำกัด (มหาชน)หรือ ZMICO เปิดเผยว่า บริษัทเตรียมที่จะจัดประชุมผู้ถือหุ้นในเดือนธันวาคมนี้ เพื่อขอมติในการควบรวมกิจการกับบริษัทหลักทรัพย์ (บล.)เคทีบี จำกัด หลังจากที่บริษัทเข้าไปถือหุ้นในสัดส่วน48.81% และเตรียมที่จะเข้าไปเจรจากับนักลงทุนรายย่อยเพื่อให้ถือหุ้นเพิ่มเป็น 50% และทางทางธนาคารกรุงไทย ได้อนุมัติในการดำเนินการดังกล่าวแล้ว
สำหรับชื่อบริษัทนั้นจะต้องมีการหารือกับทางธนาคารกรุงไทยอีกครั้งว่าจะใช้ชื่อว่าอะไร แต่แน่นอนจะต้องมีชื่อซีมิโก้ร่วมอยู่ด้วย โดยขณะนี้บริษัทได้มีการดำเนินการในเรื่องรายละเอียดเอกสารต่าง ซึ่งหากทางผู้ถือหุ้นของบล.ซีมิโก้อนุมัติให้ควบรวมกิจการได้ ก็คาดว่าจะดำเนินการควบรวมกิจการเสร็จภายในเดือนธันวาคมนี้ ซึ่งจะธนาคารกรุงไทยก็จะเข้ามาช่วยสนันสนุนทางธุรกิจหลักทรัพย์ในเรื่องการแนะนำฐานลูกค้าใหม่ให้ ซึ่งทำให้บริษัทมีความแข็งแกร่งมากขึ้น
ทั้งนี้ การที่ส่วนแบ่งการตลาด (มาร์เกตแชร์)ของบริษัทในเดือนตุลาคมปรับตัวเพิ่มขึ้นอยู่ในอันดับที่ 2 มีมาร์เกตแชร์อยู่ที่ 6.32% รองจากบล.กิมเอ็ง (ประเทศไทย) ซึ่งกุมมาร์เกตแชร์อยู่ที่ 8.21% ขณะที่เมื่อเดือนกันยายนบริษัทมีมาร์เกตแชร์ที่ 5.39% ซึ่งอยู่ในอันดับที่ 3 โดยการที่มาร์เกตแชร์ของบริษัทในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมาได้ปรับตัวเพิ่มขึ้นสูง เนื่องจาก ลูกค้าของบริษัทมีการซื้อขายหุ้นตามปกติ สวนทางกับ บล.อื่น เพราะเหตุจากภาวะที่ไม่ดีอาจจะทำให้ลูกค้าของบล.อื่นมีการชะลอการซื้อขายหรือหยุดการซื้อขายหุ้น จึงทำให้ มาร์เกตแชร์ของบริษัทมีการปรับตัวเพิ่มขึ้น
"การที่มาร์เกตแชร์ของบริษัทมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นในช่วง 2 เดือนนั้น ไม่ได้มีอะไร ลูกค้าของบริษัทก็ยังคงซื้อขายในระดับปกติไม่ได้เพิ่มขึ้น แต่การที่ภาวะตลาดหุ้นไม่ดีอาจจะทำให้ลูกค้าของโบรกเกอร์อื่นๆ ชะลอการลงทุน หรือหยุดเทรด ทำให้สัดส่วนมาร์เกตแชร์ของบริษัทปรับตัวเพิ่มขึ้นมา" นายชัยภัทร กล่าว
สำหรับส่วนแบ่งมาร์เกตแชร์ของบริษัทตั้งแต่ต้นปี51 ถึงขณะนี้อยู่ที่ระดับ 4.44% หรืออันดับที่ 5 แต่หากปีนี้ทำได้ที่ระดับ 4-5% ถือว่าเป็นระดับที่น่าพอใจ เพราะภาวะตลาดหุ้นที่ไม่ดี ส่วนการที่บริษัทมีแผนที่จะเข้าไปลงทุนตรงในบริษัททั้งในตลาดหลักทรัพย์ฯและนอกตลาดนั้น ขณะนี้บริษัทอยู่ระหว่างการศึกษาที่จะเข้าไปลงทุน หลังจากยคณะกรรมการบริษัทอนุมัติวงเงินการทำธุรกิจดังกล่าว 500 ล้านบาท ซึ่งที่ผ่านมาได้ลงทุนไปแล้ว 150 ล้านบาท