xs
xsm
sm
md
lg

คาดศก.ไทยปี 52 ถึงจุดต่ำสุด แนวโน้มปี 53 เริ่มฟื้นตัว

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

นักวิชาการ-นักวิเคราะห์คาดการณ์แนวโน้มเศรษฐกิจไทยถึงจุดต่ำสุดปีหน้า และฟื้นตัวได้ในปี 53 ตามเศรษฐกิจโลก แนะภาครัฐอัดฉีดสภาพคล่อง-ใช้นโยบายการคลัง กระตุ้นเศรษฐกิจภายใน

นายเอกชัย นิตยาเกษตรวัฒน์ คณบดี คณะบริหารธุรกิจ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) กล่าวในงานเสวนา “ Thailand Outlook in Global Recession” โดยระบุถึงผลการประเมินปัญหาวิกฤตการเงินที่เกิดขึ้นในสหรัฐและยุโรป เชื่อว่าสถานการณ์จะไม่รุนแรงและยืดเยื้อ เนื่องจากธนาคารกลางของประเทศต่างๆ ได้อัดฉีดเงินเข้าสู่ระบบเพื่อเสริมสภาพคล่องให้กับสถาบันการเงิน เพื่อร่วมมือในการช่วยแก้ปัญหาวิกฤตการเงินของโลก

อย่างไรก็ตาม นายเอกชัย ยอมรับว่า ยังคงมีสถาบันการเงินขนาดเล็กอีกหลายแห่งในสหรัฐ ยุโรป หรือบางประเทศในเอเชียต้องเลิกกิจการ หรือขอเข้ารับการช่วยเหลือจากธนาคารกลาง เพื่อช่วยแก้ไขปัญหาสภาพคล่องและเรียกความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนกลับคืนมา จึงมองว่าปัญหาดังกล่าวจะถึงจุดต่ำสุดภายในปี 2552 จากนั้นปัญหาต่างๆ จะกลับเข้าสู่ภาวะปกติได้ภายในปี 2553

สำหรับผลกระทบต่อไทยนั้น จะส่งผลกระทบโดยตรงต่อภาคการค้าการลงทุนมากกว่าภาคสถาบันการเงิน โดยเฉพาะการส่งออกและปัญหาราคาสินค้าเกษตรจะลดราคาต่อเนื่อง แต่น่าจะกระทบในระยะสั้น เพราะสินค้าเกษตรจำเป็นต่อการดำรงชีวิต จึงคาดว่าราคาสินค้าจะกลับสู่ภาวะปกติได้ภายในปี 2552

ดังนั้นรัฐบาลควรเน้นนโยบายการคลังในการกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยการอัดฉีดเงินช่วยเหลือในด้านการจ้างงานและระดับฐานราก

นอกจากนี้รัฐบาลและธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ควรเสริมสภาพคล่องในตลาดเพื่อเรียกความเชื่อมั่นให้กับภาคเอกชน ด้วยการลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ยืมอย่างต่ำ 0.5 - 1.0% เพื่อให้เกิดผลทางจิตวิทยาว่าภาครัฐและ ธปท.ได้เตรียมพร้อมรับมือกับวิกฤติทางการเงินที่เกิดขึ้น และควรเร่งเดินหน้าโครงการเมกะโปรเจคเป็นตัวขับเคลื่อนเพื่อให้เงินในระบบเกิดการหมุนเวียน เกิดการจ้างงานและป้องกันปัญหาการว่างงาน

นายสุกิจ อุดมศิริกุล ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการอาวุโส สถาบันวิจัยนครหลวงไทย (SCRI) กล่าวว่า ขณะนี้วิกฤติเศรษฐกิจยังไม่ถึงจุดที่เลวร้ายที่สุด โดยคาดว่าวิกฤติการเงินของโลกจะเข้าสู่ภาวะถดถอยในปี 2552 หลังจากประเทศผู้นำเศรษฐกิจทั้ง สหรัฐ กลุ่มประเทศยุโรปและญี่ปุ่นมีภาวะเศรษฐกิจเริ่มเข้าสู่ภาวะถดถอยแล้วในปีนี้สำหรับเศรษฐกิจไทยจะได้รับผลกระทบไม่มาก เพราะยังมีความสามารถในการรับแรงกระแทกจากภายนอกได้พอสมควร

ทั้งนี้ เนื่องจากปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจของไทยยังแข็งแกร่ง จึงประเมินว่า เศรษฐกิจจะขยายตัวต่ำสุดไม่เกิน 3.3% ในปี 2552 โดยนำเรื่องการอัดฉีดเงินจากงบกลางปี 100,000 ล้านบาท และมองว่าการเติบโตของเศรษฐกิจไทยเฉลี่ยระหว่างปี 2551-2555 ประมาณ 4-6%

โดยมีจุดต่ำสุดของเศรษฐกิจอยู่ในปี 2552 อัตราเงินเฟ้อในช่วงปี 2552-2555 เฉลี่ยที่ 3% ซึ่งจะทำให้อัตราดอกเบี้ยนโยบายมีโอกาสลดลงได้เหลือ 3% ในปี 2553 และจากนี้ไปอัตราดอกเบี้ยอาจลดลงถึง 0.75%

สำหรับอุตสาหกรรมที่มีความเสี่ยงได้แก่ กลุ่มอสังหาริมทรัพย์ นิคมอุตสาหกรรม ค้าปลีก ปิโตรเคมี ยานยนต์ และสิ่งพิมพ์ อาหารทะเลกระป๋องและแปรรูป ผลิตภัณฑ์ยางเม็ดพลาสติกแผงวงจรไฟฟ้า เนื่องจากเป็นธุรกิจที่มีความอ่อนไหวสูงต่อการขยายตัวของเศรษฐกิจในประเทศและต้องพึ่งพาการส่งออกไปยังประเทศสหรัฐ ยุโรป และญี่ปุ่น ซึ่งคาดว่าในปี 2552 การนำเข้าจะลดลง 10% ขณะที่ธุรกิจที่ยังไม่ได้รับผลกระทบมากนัก คือ กลุ่มโรงพยาบาล
กำลังโหลดความคิดเห็น