นักวิชาการนิด้าชี้กนง.ขึ้นดอกเบี้ยนโยบายไม่ช่วยสกัดปัญหาเงินเฟ้อพุ่ง เหตุตลาดการเงินรับทราบข่าวไปแล้ว พร้อมส่งสัญญาณเตือนกลุ่มอสังหาฯ เจอพิษ 2 เด้ง "ต้นทุนการเงินสูง - ผู้บริโภคชะลอการซื้อที่อยู่อาศัย" แนะกลุ่มสถาบันการเงินต้องเตรียมรับมือเอ็นพีแอลที่เพิ่มสูงขึ้น
ผู้ช่วยศาสตราจารย์ กำพล ปัญญาโกเมศ CFA, FRM ผู้อำนวยการหลักสูตรปริญญาโท สาขาวิชาการลงทุนและการจัดการความเสี่ยง หรือ FIRM คณะบริหารธุรกิจ นิด้า (NIDA Business School) กล่าวถึงการประชุมของคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ในวันที่ 16 กรกฎาคมนี้ว่า หลายฝ่ายคาดการณ์ว่า กนง.จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในตลาดซื้อคืนพันธบัตร (อาร์พี) ระยะ 1 วัน ซึ่งเป็นดอกเบี้ยนโยบายเพิ่มขึ้น 0.25% โดยคาดว่าจะปรับขึ้นในการประชุมเดือนสิงหาคมหรือเดือนตุลาคมอีก 0.25%
อย่างไรก็ตามเชื่อว่าการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในครั้งนี้จะไม่สามารถหยุดยั้งภาวะเงินเฟ้อที่ปรับตัวสูงขึ้นอยู่ในขณะนี้ได้ เนื่องจากที่ผ่านมาตลาดเงินได้ทราบข่าวเกี่ยวกับการปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบายมาก่อนหน้านี้แล้ว ส่งผลให้การปรับดอกเบี้ยนโยบายในครั้งนี้จะเป็นเพียงการชะลอการเพิ่มขึ้นของอัตราเงินเฟ้อไม่ให้สูงถึง 10% หรือเป็นตัวเลขสองหลัก จนอาจส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจของประเทศเท่านั้น
ขณะเดียวกันต้องยอมรับว่าการเลือกแนวทางปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบายของคณะกรรมการนโยบายการเงินในครั้งนี้ ยังต้องชั่งน้ำหนักถึงผลกระทบในเรื่องของเงินเฟ้อกับการเติบโตเศรษฐกิจของประเทศด้วย เพราะการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในแต่ละครั้ง ส่งผลทำให้ความสามารถในการจับจ่ายใช้สอยของประชาชนลดลง ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศไทย
“หากมีการปรับดอกเบี้ย 0.25% ในเดือนกรกฎาคมนี้ เชื่อว่าจะยังไม่ส่งผลต่อกำลังซื้อของประชาชนและภาคธุรกิจบริการมากนัก แต่หากมีการปรับเพิ่มขึ้นอีก 0.25% ในการประชุมเดือนสิงหาคมหรือตุลาคม ทำให้ดอกเบี้ยเพิ่มอีก 0.50% ภายในสิ้นปีนี้ ต้องจับตาดูกลุ่มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งจะเป็นกลุ่มที่มีความเสี่ยงต่อการดำเนินธุรกิจมากที่สุด” ผู้ช่วยศาสตราจารย์กำพล กล่าว
ทั้งนี้เนื่องมาจากกลุ่มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์จะได้รับแรงกดดันจากปัจจัยลบในเรื่องของต้นทุนทางการเงินที่เพิ่มขึ้นตามอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ เพื่อนำมาลงทุนพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัย ขณะที่ผู้บริโภคจะชะลอการซื้อที่อยู่อาศัย ทำให้การเปิดขายที่อยู่อาศัยโครงการใหม่ๆชะลอตัวลง นอกจากนี้ยังต้องจับตาในส่วนของหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ หรือเอ็นพีแอลของสถาบันการเงินที่มีความเป็นไปได้ว่าหนี้เอ็นพีแอลจะเพิ่มขึ้นอีกด้วย เพราะประชาชนจะมีความสามารถในการชำระหนี้ลดลงเช่นกัน
“หากมองในมุมกลับกัน ถ้า กนง.ตัดสินใจคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายเอาไว้ก่อน ก็จะสะท้อนให้เห็นว่าให้ความสำคัญกับการเติบโตทางเศรษฐกิจมากกว่า และเชื่อว่าภาวะเงินเฟ้อในขณะนี้ยังพอรับมือได้ เพราะหากมีการปรับดอกเบี้ยย่อมหนีไม่พ้นที่จะส่งผลต่ออัตราการเติบโตของเศรษฐกิจของประเทศที่จะชะลอตัวลงไปอย่างแน่นอน” ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.กำพลกล่าว