xs
xsm
sm
md
lg

จับตาหาก กนง.ขึ้น ดบ.0.25% แก้เงินเฟ้อได้จริง หรือทำให้การลงทุนชะลอตัว

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


นักวิชาการ-นายแบงก์ คาด วันนี้ กนง.ขึ้นดอกเบี้ย 0.25% หวั่นกระทบการลงทุนภาคอสังหาฯ จวกการขึ้นดอกเบี้ย ไม่ช่วยแก้ปัญหาเงินเฟ้อ แนะใช้นโยบายการคลังกระตุ้นแทน ใช้นโยบายภาษีบรรเทาผลกระทบปัญหาค่าครองชีพของประชาชน ฟันธงหากขึ้นดอกเบี้ยกระทบเศรษฐกิจแนน่นอน โดยเฉพาะภาคอสังหาริมทรัพย์

วันนี้ (16 ก.ค.) นายวีรพงษ์ รามางกูร อดีตรองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวในงานสัมมนา “อยู่อย่างไรใน พ.ศ.นี้” โดยยอมรับว่า ปัญหาวิกฤตน้ำมันราคาแพงยังกระทบต่อเศรษฐกิจโลกอีก 7-8 ปี ถือเป็นแรงผลักที่สำคัญต่อภาวะเงินเฟ้อที่รุนแรงขึ้น และกดดันการปรับขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารกลางทั่วโลก ส่วนการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) เช้าวันนี้ ไม่ควรแก้ปัญหาเงินเฟ้อด้วยการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย เพราะสาเหตุมาจากน้ำมันแพง ไม่ใช่จากการบริโภคและการลงทุนมากเกินไป

ด้าน นายปลิว มังกรกนก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารทิสโก้ จำกัด (มหาชน) หรือ TISCO เชื่อว่า กนง.น่าจะมีมติปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายอีก 0.25% เพื่อเป็นการแก้ปัญหาเงินเฟ้อ แต่อย่างไรก็ตาม โดยส่วนตัวมองว่าการใช้นโยบายการเงินแก้ปัญหาเงินเฟ้อนั้นคงเป็นเพียงมาตรการที่ช่วยได้เล็กน้อยเท่านั้น เนื่องจากในปัจจุบันปัญหาทุกอย่างเกิดจากราคาน้ำมันที่แพงขึ้นทำประชาชนต้องแบกรับภาระมากขึ้น

ดังนั้น รัฐบาลควรใช้นโยบายทางการคลังมากกว่า โดยเฉพาะมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐเกี่ยวกับการลดอัตราภาษีซึ่งน่าจะช่วยกระตุ้นการจับจ่าย รวมทั้งกระตุ้นเศรษฐกิจด้วย และจะเห็นผลได้เร็ว

ก่อนหน้านี้ นายกำพล ปัญญาโกเมศ ผู้อำนวยการหลักสูตรปริญญาโท สาขาวิชาการลงทุน และการจัดการความเสี่ยง หรือ FIRM คณะบริหารธุรกิจ นิด้า (NIDA Business School) ประเมินในทิศทางเดียวกันว่า หากมีการปรับขึ้นดอกเบี้ยแค่ 0.25% จะไม่สามารถหยุดยั้งภาวะเงินเฟ้อที่ปรับตัวสูงขึ้นอยู่ในขณะนี้ได้ เนื่องจากที่ผ่านมาตลาดเงินมีการซึมซับข่าวเกี่ยวกับการปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบายมาก่อนหน้านี้แล้ว ส่งผลให้การปรับดอกเบี้ยนโยบายในครั้งนี้จะเป็นเพียงการชะลอการเพิ่มขึ้นของอัตราเงินเฟ้อไม่ให้สูงถึง 10% หรือเป็นตัวเลขสองหลัก จนอาจส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจของประเทศได้

นอกจากนี้ ต้องยอมรับว่า การเลือกแนวทางปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบายของ กนง.ในครั้งนี้ ยังต้องชั่งน้ำหนักถึงผลกระทบในเรื่องของเงินเฟ้อกับ การเติบโตเศรษฐกิจของประเทศด้วย เพราะการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในแต่ละครั้ง จะส่งผลต่อความสามารถในการจับจ่ายใช้สอยของประชาชนจะลดลง ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศด้วย

“หากมีการปรับดอกเบี้ย 0.25% ในเดือน ก.ค.นี้ เชื่อว่า จะยังไม่ส่งผลต่อกำลังซื้อ ของประชาชนและภาคธุรกิจบริการมากนัก แต่หากมีการปรับเพิ่มขึ้นอีก 0.25% ในการประชุมเดือนสิงหาคมหรือตุลาคม ทำให้ดอกเบี้ยเพิ่มอีก 0.50% ภายในสิ้นปีนี้ ต้องจับตาดูกลุ่มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งจะเป็นกลุ่มที่มีความเสี่ยงต่อการดำเนินธุรกิจมากที่สุด”

ทั้งนี้ คาดว่า กลุ่มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์จะได้รับแรงกดดันจากปัจจัยลบในเรื่องของต้นทุนทางการเงินที่เพิ่มขึ้นจากอัตราดอกเบี้ยเงินกู้เพื่อนำมาลงทุนพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัย ขณะที่ผู้บริโภคจะชะลอการซื้อที่อยู่อาศัย ทำให้การเปิดขายที่อยู่อาศัยโครงการใหม่ๆ จะชะลอตัวลง นอกจากนี้ ยังต้องจับตาในส่วนของหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ หรือเอ็นพีแอลของสถาบันการเงิน ที่มีความเป็นไปได้ว่าหนี้เอ็นพีแอลจะเพิ่มขึ้น เพราะประชาชนจะมีความสามารถในการชำระหนี้ลดลงเช่นกัน

“หากมองในมุมกลับกัน หากว่า กนง.ตัดสินใจคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายเอาไว้ก่อน ก็จะสะท้อนให้เห็นว่าให้ความสำคัญกับการเติบโตทางเศรษฐกิจมากกว่า และเชื่อว่าภาวะเงินเฟ้อในขณะนี้ยังพอรับมือได้ เพราะหากมีการปรับดอกเบี้ยย่อมหนีไม่พ้นที่จะส่งผลต่ออัตราการเติบโตของเศรษฐกิจของประเทศที่จะชะลอตัวลงไปอย่างแน่นอน”

รายงานล่าสุด ระบุว่า กนง.จะแถลงผลการประชุมนโยบายอัตราดอกเบี้ย ในเวลา 14.30 น. วันนี้ ซึ่งปัจจุบันอัตราดอกเบี้ยนโยบายซึ่งอ้างอิงอัตราดอกเบื้อซื้อคืนพันธบัตรระยะ 1 วัน อยู่ที่ 3.25 เปอร์เซ็นต์ โดย กนง.จะนำความเสี่ยงจากปัจจัยเงินเฟ้อเป็นเรื่องหลักในการพิจารณาว่า จะมีการปรับอัตราดอกเบี้ยหรือไม่ ซึ่งก่อนหน้านี้ ธนาคารแห่งประเทศไทย ยอมรับว่า อัตราเงินเฟ้อที่สูงขึ้นมากจากราคาน้ำมันและราคาสินค้า เริ่มอยู่เหนือการควบคุม และอยู่สูงเกินกว่ากรอบที่กำหนดไว้ ซึ่งจำเป็นต้องเข้าไปดูแล ไม่ให้ส่งผลต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุน
กำลังโหลดความคิดเห็น