บสท.จัดเสวนา “ทิศทางการลงทุนกับที่ดินเพื่อการเกษตร” ดึงนักลงทุนเงินเย็นซื้อที่ดินทำธุรกิจการเกษตร ชี้พืชพลังงานและพืชเกษตรตัวกำหนดเศรษฐกิจไทยในอนาคต ย้ำความเสี่ยงต่ำแต่เพิ่มมูลค่าในระยะยาว พร้อมคัดทรัพย์กว่า 200 รายการ ออกขายในราคาเริ่มต้นเพียงไร่ละ 10,000 บาท ยันสิ้นปียอดขายตามเป้า 10,500 ล้านบาท
นายเชาวรัตน์ เชาวน์ชวานิล ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ สายงานบริหารทรัพย์สิน บรรษัทบริหารสินทรัพย์ไทย (บสท.) กล่าวภายในงานเสวนา เรื่อง “ทิศทางการลงทุนกับที่ดินเพื่อการเกษตร” ว่า จากการวิเคราะห์สถานการณ์เชื่อว่าใน 5-10 ปีข้างหน้า การเกษตรจะก้าวเข้ามามีบทบาทต่อระบบเศรษฐกิจแทนที่อุตฯ ซึ่งจะส่งผลให้ราคาสินค้าเกษตรในอนาคตมีแนวโน้มเติบโตขึ้น ทั้งนี้รวมไปถึงพืชพลังงานทดแทนด้วย ปัจจัยเหล่านี้ส่งผลดีต่อบสท. ในฐานะที่เป็นแหล่งรวมทรัพย์สินที่มีจำนวนมากที่สุดของประเทศ มีมูลค่าประมาณ 78,000 ล้านบาท
นอกจากนี้ ในภาวะที่การลงทุนในตลาดเงินและตลาดทุนมีความผันผวนรุนแรง รวมไปถึงราคาทองคำลดต่ำลงอย่างมาก อีกทั้งการฝากเงินยังให้ผลตอบแทนที่ต่ำ ดังนั้น การลงทุนในที่ดินเพื่อการเกษตร จึงเป็นอีกทางเลือกหนึ่งของนักลงทุน โดยล่าสุด บสท.ได้ทำการคัดเลือกทรัพย์สินรอการขายประเภทที่ดินเพื่อการเกษตรจำนวน 200 รายการ ประมาณ 40,000- 50,000 ไร่ มูลค่ารวม 2,700 ล้านบาท ออกเสนอขาย โดยจัดทีมผู้เชี่ยวชาญวิเคราะห์ความเป็นไปได้ของพื้นที่แปลงดังกล่าวว่าจะปลูกพืชชนิดใดหรือลงทุนประเภทใดจึงจะเหมาะสม พร้อมคำแนะนำในการปลูกจนกระทั้งขาย
ทั้งนี้ ที่ดินที่นำออกมาเสนอขายมีขนาดที่ดินให้เลือกตั้งแต่ 1 ไร่ไปจนถึง 9,900 ไร่ ราคาเริ่มต้นตั้งแต่ 10,000 บาทต่อไร่ไปจนถึงระดับราคา 1แสนบาทต่อไร่ เช่น บริเวณถนนสายหนองปรือ-เลาขวัญ อำเภอเลาขวัญ จังหวัดกาญจนบุรี เนื้อที่ประมาณ 130 ไร่ ติดถนน 3 ด้านราคาไร่ละประมาณ 16,000 บาท หรือที่ดินบริเวณถนนสายเซกา-อากาศอำนวย ตำบลเซกา อำเภอเซกา จังหวัดหนองคาย เนื้อที่ประมาณ 50 ไร่ ราคาไร่ละประมาณ 19,000 บาท พื้นที่ติดลำห้วยอ้ายยี่ ซึ่งเป็นทำเลที่นักลงทุนรายใหญ่สนใจเข้ามาจับจองเนื่องจากเป็นแหล่งปลูกข้าวที่สำคัญของประเทศ เป็นต้น
สำหรับผลการดำเนินงานของบสท.และแผนงานในไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ว่า ทางบสท.ตั้งเป้าในการขายทรัพย์สินไว้ที่ประมาณ 10,500 ล้านบาท ขณะนี้สามารถขายทรัพย์ได้แล้วกว่า 8,000 ล้านบาท ยังเหลืออีกประมาณ 2,500 ล้านบาท ซึ่งทางบสท.กำลังเร่งดำเนินการในไตรมาสสุดท้าย เนื่องจากมีผู้สนใจต้องการซื้อที่ดินแปลงใหญ่กว่า1,000 ไร่ ซึ่งจะทำให้ยอดรายได้ปีนี้เป็นไปตามเป้าที่กำหนด
นายเชาวรัตน์ เชาวน์ชวานิล ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ สายงานบริหารทรัพย์สิน บรรษัทบริหารสินทรัพย์ไทย (บสท.) กล่าวภายในงานเสวนา เรื่อง “ทิศทางการลงทุนกับที่ดินเพื่อการเกษตร” ว่า จากการวิเคราะห์สถานการณ์เชื่อว่าใน 5-10 ปีข้างหน้า การเกษตรจะก้าวเข้ามามีบทบาทต่อระบบเศรษฐกิจแทนที่อุตฯ ซึ่งจะส่งผลให้ราคาสินค้าเกษตรในอนาคตมีแนวโน้มเติบโตขึ้น ทั้งนี้รวมไปถึงพืชพลังงานทดแทนด้วย ปัจจัยเหล่านี้ส่งผลดีต่อบสท. ในฐานะที่เป็นแหล่งรวมทรัพย์สินที่มีจำนวนมากที่สุดของประเทศ มีมูลค่าประมาณ 78,000 ล้านบาท
นอกจากนี้ ในภาวะที่การลงทุนในตลาดเงินและตลาดทุนมีความผันผวนรุนแรง รวมไปถึงราคาทองคำลดต่ำลงอย่างมาก อีกทั้งการฝากเงินยังให้ผลตอบแทนที่ต่ำ ดังนั้น การลงทุนในที่ดินเพื่อการเกษตร จึงเป็นอีกทางเลือกหนึ่งของนักลงทุน โดยล่าสุด บสท.ได้ทำการคัดเลือกทรัพย์สินรอการขายประเภทที่ดินเพื่อการเกษตรจำนวน 200 รายการ ประมาณ 40,000- 50,000 ไร่ มูลค่ารวม 2,700 ล้านบาท ออกเสนอขาย โดยจัดทีมผู้เชี่ยวชาญวิเคราะห์ความเป็นไปได้ของพื้นที่แปลงดังกล่าวว่าจะปลูกพืชชนิดใดหรือลงทุนประเภทใดจึงจะเหมาะสม พร้อมคำแนะนำในการปลูกจนกระทั้งขาย
ทั้งนี้ ที่ดินที่นำออกมาเสนอขายมีขนาดที่ดินให้เลือกตั้งแต่ 1 ไร่ไปจนถึง 9,900 ไร่ ราคาเริ่มต้นตั้งแต่ 10,000 บาทต่อไร่ไปจนถึงระดับราคา 1แสนบาทต่อไร่ เช่น บริเวณถนนสายหนองปรือ-เลาขวัญ อำเภอเลาขวัญ จังหวัดกาญจนบุรี เนื้อที่ประมาณ 130 ไร่ ติดถนน 3 ด้านราคาไร่ละประมาณ 16,000 บาท หรือที่ดินบริเวณถนนสายเซกา-อากาศอำนวย ตำบลเซกา อำเภอเซกา จังหวัดหนองคาย เนื้อที่ประมาณ 50 ไร่ ราคาไร่ละประมาณ 19,000 บาท พื้นที่ติดลำห้วยอ้ายยี่ ซึ่งเป็นทำเลที่นักลงทุนรายใหญ่สนใจเข้ามาจับจองเนื่องจากเป็นแหล่งปลูกข้าวที่สำคัญของประเทศ เป็นต้น
สำหรับผลการดำเนินงานของบสท.และแผนงานในไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ว่า ทางบสท.ตั้งเป้าในการขายทรัพย์สินไว้ที่ประมาณ 10,500 ล้านบาท ขณะนี้สามารถขายทรัพย์ได้แล้วกว่า 8,000 ล้านบาท ยังเหลืออีกประมาณ 2,500 ล้านบาท ซึ่งทางบสท.กำลังเร่งดำเนินการในไตรมาสสุดท้าย เนื่องจากมีผู้สนใจต้องการซื้อที่ดินแปลงใหญ่กว่า1,000 ไร่ ซึ่งจะทำให้ยอดรายได้ปีนี้เป็นไปตามเป้าที่กำหนด