หุ้นภาคบ่ายดีดตัวขึ้นรุนแรงเริ่ม ดีชนีปรับขึ้นเกือบ 14 จุด นลท.คลายความวิตกปัญหาการเมืองหลังศาลมีคำสั่งถอนข้อหากบฎ 9 แกนนำพันธมิตร และให้ประกันตัว "จำลอง-ไชยวัฒน์" แบบไม่มีเงื่อนไข
ภาวะการลงทุนในตลาดหุ้นไทย บ่ายวันนี้ ( 9 ต.ค.) ดัชนีเริ่มพลิดกลับขึ้นมาในแดนบวกได้สำเร็จ และดีดตัวขึ้นค่อนข้างแรง โดยเมื่อเวลา 16.01 น. ดัชนีอยู่ที่ระดับ 505.93 จุด เพิ่มขึ้น 13.59 จุด มูลค่าการซื้อขาย 16,220.87 ล้านบาท คาดนักลงทุนเริ่มคลายความวิตกปัญหาการเมืองภายในประเทศ หลังศาลอาญามีคำสั่งถอนข้อหากบฎ 9 แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย และให้ประกันตัว พลตรีจำลอง ศรีเมือง และนายไชยวัฒน์ สินสุวงศ์ แบบไม่มีเงื่อนไข ส่วนปัจจัยต่างประเทศ การที่ธนาคารกลางทั่วโลก พร้อมใจประกาศลดดอกเบี้ย ถือเป็นปัจจัยที่หนุนต่อการลงทุนในตลาดหุ้น วันนี้
นางสาวสุภากร สุจิรัตนวิมล รองกรรมการผู้จัดการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.เคทีบี กล่าวว่า ดัชนีตลาดหลักทรัพย์วันนี้ค่อนข้างผันผวน โดยช่วงเช้า ดัชนีปรับลงไปแรงจนเข้าเขตขายมากเกินไป และเกิดจุดต่ำสุดใหม่ จึงเกิดสัญญาณรีบาวน์ทางเทคนิค ประกอบกับสถานการณ์การเมืองที่คลายความร้อนแรงลง จากศาลอุทธรณ์มีคำสั่งให้เพิกถอนหมายจับ 9 แกนนำกลุ่มพันธมิตรฯ ในข้อหาที่เกี่ยวข้องกับกบฎ ช่วยให้ความตึงเครียดลดลง จึงมีแรงซื้อกลับเข้ามาในหุ้นมาร์เกตแคปขนาดใหญ่ ทั้งกลุ่มธนาคารพาณิชย์ และพลังงาน ผลักดันให้ดัชนีฯ ทะยานขึ้นได้แรง
ประกอบกับตลาดหุ้นต่างประเทศได้ปรับเพิ่มขึ้น ตอบรับมาตรการบรรเทาวิกฤติการร์การเงินโลกด้วย โดยดัชนี สเตรทไทม์: ตลาดหุ้นสิงคโปร์ ปิดตลาดที่ระดับ 2,102.71 จุด เพิ่มขึ้น 69.10 จุด หรือ 3.40 % ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมนี เวลา 16:29 น. (ตามเวลาประเทศไทย) อยู่ที่ระดับ 5,107.13 จุด เพิ่มขึ้น 93.51 จุด ดัชนี ฮั่งเส็ง ตลาดหุ้นฮ่องกง ปิดตลาดที่ระดับ 15,943.24 จุด เพิ่มขึ้น 511.51 จุด หรือ 3.31 %
แนวโน้มพรุ่งนี้ในกรอบ 480-500 จุด ภาพรวมระยะกลางเป็นลักษณะของการรอ ตลาดยังไม่ชี้ชัดเพราะประเด็นทั้งหมดยังไม่สามารถสร้างความเชื่อมั่นได้ แนะ wait and see
โดยเมื่อเวลา 16.16 น. ดัชนีอยู่ที่ระดับ 508.43 จุด เพิ่มขึ้น 16.09 จุด มูลค่าการซื้อขาย 17,485.18 ล้านบาท
ล่าสุด ดัชนีปิดตลาดช่วงบ่ายที่ระดับ 499.99 จุด เพิ่มขึ้น 7.65 จุด เปลี่ยนแปลง +1.55% มูลค่าการซื้อขาย 20,029 ล้านบาท โดยนักลงทุนสถาบันซื้อสุทธิ 1,191.21 ล้านบาท นักลงทุนต่างชาติ ขายสุทธิ 2,297.24 ล้านบาท และนักลงทุนทั่วไป ซื้อสุทธิ 1,106.03 ล้านบาท