ตลาดหุ้นไทยเสี่ยงสูง ดัชนีภาคเช้าปรับตัวลง 2.63% โดยปัจจัยหลักเกิดจากเหตุการณ์รุนแรงในช่วงเช้า เจ้าหน้าที่ตำรวจใช้แก๊สน้ำตาและระเบิดเสียงเข้าสลายกลุ่มพันธมิตรฯ ที่บริเวณหน้ารัฐสภา เพื่อเปิดทางให้รัฐบาล "สมชาย" เข้าไปแถลงนโยบาย ทำให้ประชาชนได้รับบาดเจ็บจำนวนมาก และหลายคนได้รับบาดเจ็บสาหัส เชื่อนักลงทุนเริ่มเกิดความกังวลว่า เหตุการณ์จะบานปลายรุนแรงมากขึ้น
ภาวะการลงทุนในตลาดหุ้นไทย วันนี้ ( 7 ต.ค.) ดัชนีปิดตลาดช่วงเช้าที่ระดับ 537.31 จุด ลดลง 14.49 จุด เปลี่ยนแปลง -2.63% มูลค่าการซื้อขาย 8,916.20 ล้านบาท
หลักทรัพย์ที่มีการซื้อขายสูงสุด 5 อันดับ ได้แก่ PTT ปิดที่ 198.00 บาท ลดลง 4.00 บาท มูลค่าการซื้อขาย 1,147.70 ล้านบาท , BANPU ปิดที่ 234.00 บาท ลดลง 20.00 บาท มูลค่าการซื้อขาย 1,024.25 ล้านบาท , PTTEP ปิดที่ 109.00 บาท ลดลง 1.00 บาท มูลค่าการซื้อขาย 849.38 ล้านบาท , TTA ปิดที่ 20.70 บาท ลดลง 1.50 บาท มูลค่าการซื้อขาย 548.67 ล้านบาท , KBANK ปิดที่ 59.50 บาท เพิ่มขึ้น 0.50 บาท มูลค่าการซื้อขาย 508.10 ล้านบาท
นายจักรกริช เจริญเมธาชัย ผู้อำนวยการฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บล.ไซรัส กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยเช้านี้ปรับตัวลงเกือบ 3% เป็นไปตามการคาดหมาย โดยมองเหตุการณ์ความรุนแรงทางการเมืองภายในประเทศ เริ่มมีแรงกดดันเพิ่มมากขึ้น และถือเป็นการเพิ่มความเสี่ยงต่อการลงทุนในช่วงนี้
ส่วนปัจจัยลบจากภายนอกประเทศ ยังเป็นเรื่องของการล้มละลายของสถาบันการเงินในสหรัฐฯ ซึ่งเริ่มลุกลามไปที่ยุโรปแล้ว พร้อมมองว่า ตลาดหุ้นไทยคงจะซึมลงเรื่อยๆ โดยมีแนวรับ 520 จุด แนวต้าน 550 จุด
นักวิเคราะห์ บล.พัฒนสิน กล่าวว่า ปัจจัยหลักที่กดดันตลาดหุ้นเช้านี้ คือตลาดหุ้นต่างประเทศที่ปรับลง รองลงมาได้แก่สถานการณ์การเมืองในประเทศ และราคาน้ำมันดิบที่ปรับลงแรง ซึ่งเป็นปัจจัยลบกับหุ้นกลุ่มพลังงาน
โดยเช้าวันนี้ เจ้าหน้าที่ตำรวจใช้แก๊สน้ำตาเข้าสลายการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ซึ่งมีจำนวนหลายพันคนที่ชุมนุมอยู่บริเวณรัฐสภา เพื่อเปิดทางอำนวยความสะดวกให้นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ นายกรัฐมนตรี เดินทางเข้าเข้าแถลงนโยบายต่อรัฐสภา โดยมีผู้ที่รับบาดเจ็บมากกว่า 70 ราย ขณะที่รัฐบาลได้แถลงนโยบายเรียบร้อย และเดินทางหนีออกไปแล้ว
ทั้งนี้ เมื่อเวลา 15.06 น. ดัชนีอยู่ที่ระดับ 538.75 จุด ลดลง 13.05 จุด มูลค่าการซื้อขาย 11,028.54 ล้านบาท
