แสนสิริฯ ไม่หวั่นปัจจัยลบการเมือง วิกฤตการเงินโลกกระทบตลาด ไตรมาสสุดท้ายเตรียมผุด5 โครงการใหม่ มูลค่ากว่า 5,000 ล้านบาท พร้อมสานต่อการสร้างแบรนด์บ้านระดับกลาง หนุน บริษัทลูกรุกหนักตลาดบ้านเดี่ยว ทาวน์เฮาส์ระดับกลาง แจงยอดรอรับรู้รายได้ในมือ 21,000 ล้านบาท คาดสามารถรองรับการสร้างรายได้ต่อเนื่องในช่วง 1-3 ปี ลั่นพร้อมรับรู้รายได้ตั้งแต่ไตรมาสสามของปี51แล้ว
นายเศรษฐา ทวีสิน กรรมการผู้จัดการ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ในช่วงไตรมาสสุดท้ายนี้ บริษีท มีแผนจะเปิดตัวโครงการบ้านเดี่ยว และบ้านแฝดเพิ่มอีก 5 โครงการมูลค่าขายรวมกว่า 5,000 ล้านบาท เพื่อรองรับความต้องการของกลุ่มลูกค้าทุกเซกเมนต์ โดยเฉพาะในกลุ่มตลาดระดับกลาง นอกจากนี้ มีแผนการขยายธุรกิจผ่านบริษัทในเครือ ประกอบด้วย บริษัท พลัส พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด บริษัท พร้อมพัฒนา พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด และบริษัท เรดโลตัส พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด เพื่อพัฒนาโครงการประเภท คอนโดมิเนียม ทาวน์เฮาส์ บ้านเดี่ยว บ้านแฝด และวิลล่าตากอากาศ รองรับความต้องการของกลุ่มลูกค้าระดับกลางและระดับล่างให้ครอบคลุมความต้องการในตลาดมากขึ้น
ทั้งนี้ แม้ว่าช่วงต้นปีที่ผ่านมาต่อเนื่องถึงปัจจุบัน ตลาดอสังหาริมทรัพย์ ยังมีปัจจัยลบเข้ามากระทบอย่างต่อเนื่อง ทั้งราคาน้ำมัน อัตราดอกเบี้ย และปัญหาการเมือง ซึ่งล่าสุดปัจจัยลบที่สร้างความกังวลแก่ผู้ประกอบการอย่างมากคือ ปัญหาวิกฤตการเงินโลก ซึ่งคาดว่าจะส่งผลต่อการตัดสินใจซื้อของลูกค้าในอนาคต และตลาดรวมต่อเนื่อง แต่ผลการดำเนินธุรกิจของกลุ่มบริษัทแสนสิริ ยังสามารถขยายตัวได้ในเกณฑ์ที่ดี โดยสามารถสร้างยอดขายโครงการต่างๆ ซึ่งอยู่ระหว่างรอรับรู้รายได้(แบ็กล็อก)กว่า 21,000 ล้านบาท แบ่งออกเป็นรายได้จากบริษัท แสนสิริ 13,907 ล้านบาท ยอดขายจาก บริษัท พลัส พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด 6,499 ล้านบาท บริษัท พร้อมพัฒนา จำกัด 533ล้านบาท และ บริษัท เรด โลตัส 61 ล้านบาท โดยจะทยอยรับรู้รายได้ตั้งแต่ไตรมาสที่สามของปีนี้ต่อเนื่องไปอีกอีก 3 ปีข้างหน้า
“ ในช่วงครึ่งปีแรก กลุ่มแสนสิริ สามารถสร้างยอดขายจากโครงการที่อยู่อาศัยต่างๆ ประมาณ 10,000 ล้านบาท จากเป้าประมาณทั้งปี 20,000 ล้านบาท โดยยอดขายดังกล่าวมาจากการขายที่อยู่อาศัยครอบคลุมทุกเซกเมนต์ ตั้งแต่โครงการคอนโดมิเนียมระดับพรีเมียมของแสนสิริ ที่ปิดการขายไปแล้วเช่น โครงการ Siri at Sukhumvit by Sansiri, โครงการ 39 by Sansiri, โครงการ Hive Sathorn และโครงการคอนโดมิเนียมตากอากาศบ้านแสนปลื้ม หัวหิน ในขณะที่โครงการบ้านเดี่ยวนับว่าประสบความสำเร็จจากการสร้างการรับรู้ในแบรนด์สินค้า ได้แก่ โครงการนาราสิริ เศรษฐสิริ บุราสิริ และสราญสิริ ทำให้บ้านเดี่ยวทุกแบรนด์ได้รับการตอบรับจากลูกค้าเป็นอย่างดี รวมไปถึงโครงการคอนโดมิเนียมของ พลัสฯ เช่น โครงการ My Condo และทาวน์เฮาส์ยังมี โครงการบ้านพร้อมพัฒน์ รามอินทรา ของบริษัทพร้อมพัฒนา พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด ที่เริ่มมียอดขายเข้ามาต่อเนื่อง” นายเศรษฐา กล่าว
สำหรับปีนี้ กลุ่มแสนสิริ มีเป้าหมายในการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัย เพื่อส่งมอบให้กับลูกค้า เป็นมูลค่าเกือบ11,100 ล้านบาท ซึ่งถือว่ายอดการโอนมอบโครงการที่อยู่อาศัยที่จะสร้างรายรับให้กับบริษัทเป็นอันดับต้นๆ ของธุรกิจอสังหาฯ โดยโครงการที่จะทยอยรับรู้รายได้มากที่สุดคือ โครงการคอนโดมิเนียมที่มีการปิดการขายในช่วงก่อนหน้านี้ รองลงมาเป็นโครงการบ้านเดี่ยวและทาวน์เฮาส์ ในขณะที่โครงการที่อยู่ระหว่างการพัฒนาและมีสินค้าขายของกลุ่มแสนสิริในปัจจุบัน มีจำนวน 49 โครงการ แบ่งเป็นโครงการบ้านเดี่ยว 10 โครงการ โครงการคอนโดมิเนียม 29 โครงการ และโครงการทาวน์เฮาส์ 9 โครงการ และโครงการที่ดินเปล่า 1 โครงการ
อนึ่ง ในงวดไตรมาส 2 ของปี 51 บริษัทมีผลการดำเนินงานที่เปลี่ยนแปลงเกินกว่า 20% โดยบริษัทฯได้แจ้งต่อตลาดหลักทรัพย์ว่า มีกำไรไตรมาสนี้ เพิ่มขึ้นอย่างมากประมาณ 3.9 เท่า เป็น 179 ล้านบาทเมื่อเทียบกับกำไรที่เกิดขึ้นในช่วงเดียวกันของปีก่อน การเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญดังกล่าว เป็นผลของสาเหตุหลักสองประการ ได้แก่ รายได้รวมเพิ่มขึ้นประมาณ 16 % จาก 2,921 ล้านบาท สำหรับช่วงเดียวกันของปีก่อนเป็น 3,374 ล้านบาท อันเป็นผลของรายได้จากการขายโครงการที่เพิ่มขึ้นจาก 2,707 ล้านบาท เป็น 3,168 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นประมาณ 17 % อีกประการหนึ่งคืออัตราส่วนค่าใช้จ่ายที่ไม่ใช่ต้นทุนต่อรายได้รวมลดลงประมาณ 23 % เมื่อเทียบกับช่วงไตรมาสเดียวกันของปีก่อน จาก24.4 % เป็น 18.8 % เหตุดังกล่าวเป็นประเด็นที่สำคัญอันส่งผลให้ผลการดำเนินงานของบริษัทและบริษัทย่อยเปลี่ยนแปลงจากไตรมาสเดียวกันของปีก่อนเกินกว่า 20%
นายเศรษฐา ทวีสิน กรรมการผู้จัดการ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ในช่วงไตรมาสสุดท้ายนี้ บริษีท มีแผนจะเปิดตัวโครงการบ้านเดี่ยว และบ้านแฝดเพิ่มอีก 5 โครงการมูลค่าขายรวมกว่า 5,000 ล้านบาท เพื่อรองรับความต้องการของกลุ่มลูกค้าทุกเซกเมนต์ โดยเฉพาะในกลุ่มตลาดระดับกลาง นอกจากนี้ มีแผนการขยายธุรกิจผ่านบริษัทในเครือ ประกอบด้วย บริษัท พลัส พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด บริษัท พร้อมพัฒนา พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด และบริษัท เรดโลตัส พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด เพื่อพัฒนาโครงการประเภท คอนโดมิเนียม ทาวน์เฮาส์ บ้านเดี่ยว บ้านแฝด และวิลล่าตากอากาศ รองรับความต้องการของกลุ่มลูกค้าระดับกลางและระดับล่างให้ครอบคลุมความต้องการในตลาดมากขึ้น
ทั้งนี้ แม้ว่าช่วงต้นปีที่ผ่านมาต่อเนื่องถึงปัจจุบัน ตลาดอสังหาริมทรัพย์ ยังมีปัจจัยลบเข้ามากระทบอย่างต่อเนื่อง ทั้งราคาน้ำมัน อัตราดอกเบี้ย และปัญหาการเมือง ซึ่งล่าสุดปัจจัยลบที่สร้างความกังวลแก่ผู้ประกอบการอย่างมากคือ ปัญหาวิกฤตการเงินโลก ซึ่งคาดว่าจะส่งผลต่อการตัดสินใจซื้อของลูกค้าในอนาคต และตลาดรวมต่อเนื่อง แต่ผลการดำเนินธุรกิจของกลุ่มบริษัทแสนสิริ ยังสามารถขยายตัวได้ในเกณฑ์ที่ดี โดยสามารถสร้างยอดขายโครงการต่างๆ ซึ่งอยู่ระหว่างรอรับรู้รายได้(แบ็กล็อก)กว่า 21,000 ล้านบาท แบ่งออกเป็นรายได้จากบริษัท แสนสิริ 13,907 ล้านบาท ยอดขายจาก บริษัท พลัส พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด 6,499 ล้านบาท บริษัท พร้อมพัฒนา จำกัด 533ล้านบาท และ บริษัท เรด โลตัส 61 ล้านบาท โดยจะทยอยรับรู้รายได้ตั้งแต่ไตรมาสที่สามของปีนี้ต่อเนื่องไปอีกอีก 3 ปีข้างหน้า
“ ในช่วงครึ่งปีแรก กลุ่มแสนสิริ สามารถสร้างยอดขายจากโครงการที่อยู่อาศัยต่างๆ ประมาณ 10,000 ล้านบาท จากเป้าประมาณทั้งปี 20,000 ล้านบาท โดยยอดขายดังกล่าวมาจากการขายที่อยู่อาศัยครอบคลุมทุกเซกเมนต์ ตั้งแต่โครงการคอนโดมิเนียมระดับพรีเมียมของแสนสิริ ที่ปิดการขายไปแล้วเช่น โครงการ Siri at Sukhumvit by Sansiri, โครงการ 39 by Sansiri, โครงการ Hive Sathorn และโครงการคอนโดมิเนียมตากอากาศบ้านแสนปลื้ม หัวหิน ในขณะที่โครงการบ้านเดี่ยวนับว่าประสบความสำเร็จจากการสร้างการรับรู้ในแบรนด์สินค้า ได้แก่ โครงการนาราสิริ เศรษฐสิริ บุราสิริ และสราญสิริ ทำให้บ้านเดี่ยวทุกแบรนด์ได้รับการตอบรับจากลูกค้าเป็นอย่างดี รวมไปถึงโครงการคอนโดมิเนียมของ พลัสฯ เช่น โครงการ My Condo และทาวน์เฮาส์ยังมี โครงการบ้านพร้อมพัฒน์ รามอินทรา ของบริษัทพร้อมพัฒนา พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด ที่เริ่มมียอดขายเข้ามาต่อเนื่อง” นายเศรษฐา กล่าว
สำหรับปีนี้ กลุ่มแสนสิริ มีเป้าหมายในการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัย เพื่อส่งมอบให้กับลูกค้า เป็นมูลค่าเกือบ11,100 ล้านบาท ซึ่งถือว่ายอดการโอนมอบโครงการที่อยู่อาศัยที่จะสร้างรายรับให้กับบริษัทเป็นอันดับต้นๆ ของธุรกิจอสังหาฯ โดยโครงการที่จะทยอยรับรู้รายได้มากที่สุดคือ โครงการคอนโดมิเนียมที่มีการปิดการขายในช่วงก่อนหน้านี้ รองลงมาเป็นโครงการบ้านเดี่ยวและทาวน์เฮาส์ ในขณะที่โครงการที่อยู่ระหว่างการพัฒนาและมีสินค้าขายของกลุ่มแสนสิริในปัจจุบัน มีจำนวน 49 โครงการ แบ่งเป็นโครงการบ้านเดี่ยว 10 โครงการ โครงการคอนโดมิเนียม 29 โครงการ และโครงการทาวน์เฮาส์ 9 โครงการ และโครงการที่ดินเปล่า 1 โครงการ
อนึ่ง ในงวดไตรมาส 2 ของปี 51 บริษัทมีผลการดำเนินงานที่เปลี่ยนแปลงเกินกว่า 20% โดยบริษัทฯได้แจ้งต่อตลาดหลักทรัพย์ว่า มีกำไรไตรมาสนี้ เพิ่มขึ้นอย่างมากประมาณ 3.9 เท่า เป็น 179 ล้านบาทเมื่อเทียบกับกำไรที่เกิดขึ้นในช่วงเดียวกันของปีก่อน การเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญดังกล่าว เป็นผลของสาเหตุหลักสองประการ ได้แก่ รายได้รวมเพิ่มขึ้นประมาณ 16 % จาก 2,921 ล้านบาท สำหรับช่วงเดียวกันของปีก่อนเป็น 3,374 ล้านบาท อันเป็นผลของรายได้จากการขายโครงการที่เพิ่มขึ้นจาก 2,707 ล้านบาท เป็น 3,168 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นประมาณ 17 % อีกประการหนึ่งคืออัตราส่วนค่าใช้จ่ายที่ไม่ใช่ต้นทุนต่อรายได้รวมลดลงประมาณ 23 % เมื่อเทียบกับช่วงไตรมาสเดียวกันของปีก่อน จาก24.4 % เป็น 18.8 % เหตุดังกล่าวเป็นประเด็นที่สำคัญอันส่งผลให้ผลการดำเนินงานของบริษัทและบริษัทย่อยเปลี่ยนแปลงจากไตรมาสเดียวกันของปีก่อนเกินกว่า 20%