ตลาดคอนโดฯในเมืองยังไม่คลายมนตร์ขลัง พฤติกรรมคนซื้อเลือกอยู่ในเมืองสูงขึ้น "สุริยน พูลวรลักษณ์" ลั่นเป้าหมายบริษัทเมเจอร์ฯ 5 ปี ติด1ใน 5 ผู้พัฒนาโครงการคอนโดฯระดับพรีเมียม ด้านผู้บริหารอควาเรียสฯ ลุยลงทุนคอนโด ตร.ม.ละแสนปากซอยสุขุมวิท 49 หลังรับจ้างบริหารคอนโดฯ ประสบความสำเร็จไปหลายแห่ง ครึ่งปีหลังเล็งรับบริหารเพิ่ม 3 โครงการ มูลค่า 1,500 ล้านบาท เผยยอดคอนโดฯเปิดใหม่ในตลาดปีนี้ 41 โครงการ 14,000 ยูนิต ขายไปแล้ว 41% แต่ครึ่งปีหลังยอดเปิดโครงการใหม่วูบตามภาวะเศรษฐกิจ เหตุรายย่อยถอยฉากการลงทุน รายใหญ่สบช่องฮุบตลาดคอนโดฯ
นายสุริยน พูลวรลักษณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) หรือ MJD เปิดเผยว่า ขณะนี้บริษัทฯได้ก้าวเข้าสู่การทำธุรกิจปีที่ 9 แล้ว ซึ่งตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา การดำเนินธุรกิจได้พัฒนาตามกรอบยุทธศาสตร์ที่วางไว้ ทั้งเรื่องการสร้างความเจริญโต ความแข็งแกร่งของบริษัทเลยมา การเข้าสู่บริษัทมหาชน รวมถึงการขยายไลน์ไปสู่การพัฒนาโครงการรูปแบบผสมระหว่างคอนโดฯและโรงแรม
" วิธีการทำธุรกิจของเมเจอร์ฯไม่ได้มุ่งสร้างความหวือหวา แต่จะเน้นการลงทุนและพัฒนาโครงการตามความเหมาะสมและความสามารถของเรา ซึ่งเราวางไว้ว่าในแต่ละปี พอร์ตโครงการที่จะบริหารจะต้องรักษามูลค่าประมาณ 10,000 ล้านบาท ซึ่งเราทำได้ เพราะอย่าลืม วัฎจักรของคอนโดฯจะมีระยะเวลา 2-3 ปี ดังนั้น เราต้องรู้จักหาบ่อน้ำมารองรับการเติบโตของเรา โดยก้าวเดินของบริษัทเมเจอร์ฯคือ ภายใน 5 ปี ตั้งแต่ปี 2552-2556 แบรนด์ของเมเจอร์ฯต้องถูกพัฒนาขึ้นไปอยู่อันดับต้นๆของตลาดคอนโดฯระดับพรีเมียม เป็นแบรนด์มืออาชีพ ลูกค้าไว้วางใจและเลือกสินค้าของเรา " บอสใหญ่เมเจอร์ฯกล่าว
อนึ่ง ในปัจจุบัน ผู้ประกอบการขนาดใหญ่ที่พัฒนาคอนโดฯระดับพรีเมียม ได้แก่ บริษัทแสนสิริ , บริษัท ไรมอนแลนด์ ,บริษัทอสังหาฯในกลุ่มทีซีซี และบริษัทแผ่นดินทองฯ
***อคาเรียสไม่หวั่นศก.ซบ
***ผุดคอนโดฯตร.ม.ละแสน
นายยงยุทธ ชัยพรหมประสิทธิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อควาเรียส เอสเตท จำกัด บริษัทที่ปรึกษาและรับบริหารโครงการอสังหาริมทรัพย์ เปิดเผยว่า ภายหลังจากที่สามารถปิดการขายโครงการคอนโดมิเนียม คาซ่าเวล่า เกาะสมุย และโรงแรม ชาซ่า แล้ว และสามารถคืนเงินกู้ให้แก่สถาบันการเงินเรียบร้อยแล้ว บริษัทมีแผนที่จะลงทุนเพิ่ม โดยในเดือนกันยายนปี52 บริษัทมีแผนลงทุนพัฒนาโครงการคอนโดฯระดับกลาง บริเวณปากซอยสุขุมวิท 49 บนเนื้อที่ 604 ตร.ว.ขณะนี้อยู่ระหว่างออกแบบอาคาร คาดว่าจะสร้างเป็นอาคารสูงกว่า 22 ชั้นขึ้นไป จำนวนกว่า 100 ยูนิต ระดับราคา 1 แสนบาท/ตร.ม. มูลค่าโครงการ 1,200 ล้านบาท
“ปัจจุบันอยู่ระหว่างคิดกันว่าโครงการนี้จะออกมาในรูปแบบใด อาจจะเป็นการผสมผสานระหว่างการขายและการให้บริการ เช่น โรงแรมหรือเซอร์วิสอพาร์ตเมนต์ เพราะการพัฒนาโครงการอสังหาฯในปัจจุบัน นอกจากเรื่องทำเลแล้ว ยังต้องให้มูลค่าเพิ่มหรือกำไรแก่ผู้ซื้อหรืออยู่อาศัยด้วย คาดว่าจะได้ข้อสรุปภายใน 2-3 สัปดาห์นี้ ”
จากการสำรวจตลาดในช่วงครึ่งปีแรก พบว่า มีโครงการคอนโดฯเปิดใหม่ในเขตกรุงเทพฯ จำนวน 41 โครงการ ประมาณ 14,000 ยูนิตขายไปแล้วประมาณ 6,000 ยูนิตหรือ 41% แบ่งเป็นเกรด A ราคากว่า 1.4 แสนบาท/ตร.ม. 1 โครงการจำนวน 160 ยูนิต ขายไปแล้ว 70%, เกรด B+ จำนวน 3 โครงการ 1,180 ยูนิต ขายไปแล้ว 45%, เกรด B จำนวน 14 โครงการ ประมาณ 5,000 ยูนิต ขายไปแล้ว 2,300 ยูนิต และเกรด C ระดับราคา 50,000-80,000 บาท/ตร.ม. จำนวน 23 โครงการ 7,700 ยูนิต ขายไปแล้ว 2,800 ยูนิต
ส่วนในครึ่งปีหลัง คาดว่ากำลังซื้อในตลาดยังคงมีอยู่อย่างต่อเนื่อง สาเหตุมาจากการปรับขึ้นของราคาน้ำมันทำให้ต้นทุนในการเดินทางสูงตามไปด้วย จึงทำให้คนส่วนหนึ่งที่ต้องการซื้อที่อยู่อาศัยหันมาซื้อคอนโดฯในเมือง ตามเส้นทางรถไฟฟ้าทั้งบนดินและใต้ดินมากยิ่งขึ้น ประกอบกับภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว ต้นทุนการก่อสร้างผันผวนและปรับขึ้นอยู่ตลอดเวลา ทำให้คาดว่าในช่วงครึ่งปีหลังผู้ประกอบการหลายรายชะลอการลงทุน ส่งผลให้เหลือแต่ผู้ประกอบการรายใหญ่ จึงทำให้คอนโดฯที่เปิดขายอยู่ในปัจจุบันมีโอกาสในการขายเพิ่มสูงขึ้นไปด้วย
ในส่วนโรงแรม ชาซ่า สมุยนั้น บริษัทมีความตั้งใจที่จะใช้เชน ชาซ่า ในการบริหารโรงแรมของบริษัทรวมถึงการรับบริหารโรงแรมให้ลูกค้า ในหัวเมืองท่องเที่ยว ซึ่งปัจจุบันมีโรงแรมขนาดเล็กติดต่อเข้ามาหลายแห่ง ซึ่งในเมืองเดียวกันจะต้องใช้คนละเชน เพื่อป้องกันการสับสน และหากเป็นโรงแรมในเมืองอาจต้องใช้เชนใหม่
นายยงยุทธ กล่าวต่อว่า สำหรับการรับเป็นที่ปรึกษาและบริหารโครงการนั้น ในช่วงครึ่งปีหลังจะรับบริหารเพิ่ม 3 โครงการ ในกรุงเทพ ย่านสาทร และหัวหิน มูลค่ารวมประมาณ 1,500 ล้านบาท นอกจากนี้ยังมีโครงการเก่าที่บริหารอยู่จำนวน 8 โครงการ มูลค่า 12,000 ล้านบาท โดยบริษัทตั้งเป้ารายได้ทั้งปี 300 ล้านบาท แบ่งเป็นรายได้จากธุรกิจพัฒนาอสังหาฯ 207 ล้านบาท และรายได้จากธุรกิจบริการ 93 ล้านบาท
นายสุริยน พูลวรลักษณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) หรือ MJD เปิดเผยว่า ขณะนี้บริษัทฯได้ก้าวเข้าสู่การทำธุรกิจปีที่ 9 แล้ว ซึ่งตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา การดำเนินธุรกิจได้พัฒนาตามกรอบยุทธศาสตร์ที่วางไว้ ทั้งเรื่องการสร้างความเจริญโต ความแข็งแกร่งของบริษัทเลยมา การเข้าสู่บริษัทมหาชน รวมถึงการขยายไลน์ไปสู่การพัฒนาโครงการรูปแบบผสมระหว่างคอนโดฯและโรงแรม
" วิธีการทำธุรกิจของเมเจอร์ฯไม่ได้มุ่งสร้างความหวือหวา แต่จะเน้นการลงทุนและพัฒนาโครงการตามความเหมาะสมและความสามารถของเรา ซึ่งเราวางไว้ว่าในแต่ละปี พอร์ตโครงการที่จะบริหารจะต้องรักษามูลค่าประมาณ 10,000 ล้านบาท ซึ่งเราทำได้ เพราะอย่าลืม วัฎจักรของคอนโดฯจะมีระยะเวลา 2-3 ปี ดังนั้น เราต้องรู้จักหาบ่อน้ำมารองรับการเติบโตของเรา โดยก้าวเดินของบริษัทเมเจอร์ฯคือ ภายใน 5 ปี ตั้งแต่ปี 2552-2556 แบรนด์ของเมเจอร์ฯต้องถูกพัฒนาขึ้นไปอยู่อันดับต้นๆของตลาดคอนโดฯระดับพรีเมียม เป็นแบรนด์มืออาชีพ ลูกค้าไว้วางใจและเลือกสินค้าของเรา " บอสใหญ่เมเจอร์ฯกล่าว
อนึ่ง ในปัจจุบัน ผู้ประกอบการขนาดใหญ่ที่พัฒนาคอนโดฯระดับพรีเมียม ได้แก่ บริษัทแสนสิริ , บริษัท ไรมอนแลนด์ ,บริษัทอสังหาฯในกลุ่มทีซีซี และบริษัทแผ่นดินทองฯ
***อคาเรียสไม่หวั่นศก.ซบ
***ผุดคอนโดฯตร.ม.ละแสน
นายยงยุทธ ชัยพรหมประสิทธิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อควาเรียส เอสเตท จำกัด บริษัทที่ปรึกษาและรับบริหารโครงการอสังหาริมทรัพย์ เปิดเผยว่า ภายหลังจากที่สามารถปิดการขายโครงการคอนโดมิเนียม คาซ่าเวล่า เกาะสมุย และโรงแรม ชาซ่า แล้ว และสามารถคืนเงินกู้ให้แก่สถาบันการเงินเรียบร้อยแล้ว บริษัทมีแผนที่จะลงทุนเพิ่ม โดยในเดือนกันยายนปี52 บริษัทมีแผนลงทุนพัฒนาโครงการคอนโดฯระดับกลาง บริเวณปากซอยสุขุมวิท 49 บนเนื้อที่ 604 ตร.ว.ขณะนี้อยู่ระหว่างออกแบบอาคาร คาดว่าจะสร้างเป็นอาคารสูงกว่า 22 ชั้นขึ้นไป จำนวนกว่า 100 ยูนิต ระดับราคา 1 แสนบาท/ตร.ม. มูลค่าโครงการ 1,200 ล้านบาท
“ปัจจุบันอยู่ระหว่างคิดกันว่าโครงการนี้จะออกมาในรูปแบบใด อาจจะเป็นการผสมผสานระหว่างการขายและการให้บริการ เช่น โรงแรมหรือเซอร์วิสอพาร์ตเมนต์ เพราะการพัฒนาโครงการอสังหาฯในปัจจุบัน นอกจากเรื่องทำเลแล้ว ยังต้องให้มูลค่าเพิ่มหรือกำไรแก่ผู้ซื้อหรืออยู่อาศัยด้วย คาดว่าจะได้ข้อสรุปภายใน 2-3 สัปดาห์นี้ ”
จากการสำรวจตลาดในช่วงครึ่งปีแรก พบว่า มีโครงการคอนโดฯเปิดใหม่ในเขตกรุงเทพฯ จำนวน 41 โครงการ ประมาณ 14,000 ยูนิตขายไปแล้วประมาณ 6,000 ยูนิตหรือ 41% แบ่งเป็นเกรด A ราคากว่า 1.4 แสนบาท/ตร.ม. 1 โครงการจำนวน 160 ยูนิต ขายไปแล้ว 70%, เกรด B+ จำนวน 3 โครงการ 1,180 ยูนิต ขายไปแล้ว 45%, เกรด B จำนวน 14 โครงการ ประมาณ 5,000 ยูนิต ขายไปแล้ว 2,300 ยูนิต และเกรด C ระดับราคา 50,000-80,000 บาท/ตร.ม. จำนวน 23 โครงการ 7,700 ยูนิต ขายไปแล้ว 2,800 ยูนิต
ส่วนในครึ่งปีหลัง คาดว่ากำลังซื้อในตลาดยังคงมีอยู่อย่างต่อเนื่อง สาเหตุมาจากการปรับขึ้นของราคาน้ำมันทำให้ต้นทุนในการเดินทางสูงตามไปด้วย จึงทำให้คนส่วนหนึ่งที่ต้องการซื้อที่อยู่อาศัยหันมาซื้อคอนโดฯในเมือง ตามเส้นทางรถไฟฟ้าทั้งบนดินและใต้ดินมากยิ่งขึ้น ประกอบกับภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว ต้นทุนการก่อสร้างผันผวนและปรับขึ้นอยู่ตลอดเวลา ทำให้คาดว่าในช่วงครึ่งปีหลังผู้ประกอบการหลายรายชะลอการลงทุน ส่งผลให้เหลือแต่ผู้ประกอบการรายใหญ่ จึงทำให้คอนโดฯที่เปิดขายอยู่ในปัจจุบันมีโอกาสในการขายเพิ่มสูงขึ้นไปด้วย
ในส่วนโรงแรม ชาซ่า สมุยนั้น บริษัทมีความตั้งใจที่จะใช้เชน ชาซ่า ในการบริหารโรงแรมของบริษัทรวมถึงการรับบริหารโรงแรมให้ลูกค้า ในหัวเมืองท่องเที่ยว ซึ่งปัจจุบันมีโรงแรมขนาดเล็กติดต่อเข้ามาหลายแห่ง ซึ่งในเมืองเดียวกันจะต้องใช้คนละเชน เพื่อป้องกันการสับสน และหากเป็นโรงแรมในเมืองอาจต้องใช้เชนใหม่
นายยงยุทธ กล่าวต่อว่า สำหรับการรับเป็นที่ปรึกษาและบริหารโครงการนั้น ในช่วงครึ่งปีหลังจะรับบริหารเพิ่ม 3 โครงการ ในกรุงเทพ ย่านสาทร และหัวหิน มูลค่ารวมประมาณ 1,500 ล้านบาท นอกจากนี้ยังมีโครงการเก่าที่บริหารอยู่จำนวน 8 โครงการ มูลค่า 12,000 ล้านบาท โดยบริษัทตั้งเป้ารายได้ทั้งปี 300 ล้านบาท แบ่งเป็นรายได้จากธุรกิจพัฒนาอสังหาฯ 207 ล้านบาท และรายได้จากธุรกิจบริการ 93 ล้านบาท