ผู้จัดการารายวัน- บิ๊กแสนสิริฯ ล่อใจคนเมือง-นักลงทุน! ดีเดย์วันที่ 1 ต.ค. ขึ้นราคาขายห้องชุดคอนโดฯทุกโครงการ 8-30% พิจารณาตามทำเลและขนาดห้อง ระบุเป็นการเพิ่มมูลค่าสินค้า หลังลูกค้าฟันกำไรขายช่วงต่อห้องชุดสูงถึง1.5-1.6 แสนบาทต่อตร.ม. จากราคาขายของบริษัท 80,000-90,000 บาทต่อตร.ม. ส่วนผลตอบแทนจากการปล่อยเช่าพุ่งถึง 8% เผยโครงการ Prive’By SANSIRI หลังสวนปรับราคาสูงสุด 30% มั่นใจยอดรับรู้รายได้ปีนี้กว่า 17,000 ล้านบาท เติบโตจากปี50กว่า 25% ลั่นกำไรโตไม่ต่ำกว่า 30-35% ด้าน “ธนายง”หั่นราคาขาย2โครงการคอนโดฯ
นายเศรษฐา ทวีสิน กรรมการผู้จัดการ บริษัท แสนริสิ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค.เป็นต้นไป บริษัทจะปรับขึ้นราคาขายห้องชุดในโครงการคอนโดมิเนียมของบริษัททุกโครงการ 8-30% เนื่องจากในช่วงที่ผ่านมา ผลพ่วงจากการปรับขึ้นราคาน้ำมันและอัตราเงินเฟ้อที่ขยับสูงขึ้น ส่งผลให้ต้นทุนในการก่อสร้างสูงขึ้น อย่างต่อเนื่อง ประกอบกับในช่วงที่ผ่านมา ห้องชุดในโครงการที่เปิดขายอยู่ในปัจจุบันของแสนสิริ มีการขายช่วงต่อในราคาที่สูงกว่าราคาขายของบริษัทในปัจจุบัน ในขณะเดียวกัน ห้องชุดที่ลูกค้าลงทุนนำไปเพื่อปล่อยเช่านั้น ให้อัตราผลตอบแทนที่สูงถึง 8% ทำให้มูลค่าเพิ่มของห้องชุดในโครงการของแสนสิริ มีแนวโน้มสูงขึ้น
ดังนั้น เพื่อเป็นเป็นการสร้างมาตรฐานของสินค้าของบริษัท และเป็นการรองรับต้นทุนใหม่ บริษัทจึงมีแผนจะปรับขึ้นราคาขายห้องชุดในโครงการดังกล่าว โดยใช้หลักเกณฑ์ในการพิจารณาที่สำคัญ 2 ปัจจัย คือ ทำเลที่ตั้งโครงการ และขนาดของห้องชุด ซึ่งโครงการPrive’By SANSIRI หลังสวน มีการปรับราคาขายห้องชุดสูงที่สุด 30% ปัจจุบัน แสนสิริมีห้องชุดในโครงการต่างๆ ที่อยู่ระหว่างการขายประมาณ 300 ยูนิต แยกเป็นห้องชุดในพื้นที่กทม.ประมาณ 200 ยูนิต และห้องชุดในอำเภอหัวหินประมาณ 100 ยูนิต
“การที่เราปรับราคาขายห้องชุดขึ้น 8-30%นั้น ไม่ได้ต้องการเพิ่มอัตรากำไร แต่เป็นการปรับตามเพราะภาวะตลาด และมูลค่าของสินค้าที่เพิ่มขึ้น ซึ่งปัจจุบัน ลูกค้าที่ต้องการซื้อโครงการของบริษัท คงไม่สามารถซื้อในราคาเดิมได้ เนื่องจากต้นทุนการก่อสร้างโครงการปรับขึ้นไปแล้ว และการปรับขึ้นราคาครั้งนี้ ไม่ได้แตกต่างอะไรกับโครงการที่เปิดตัวใหม่ ที่มีราคาขายในระดับนี้เช่นกัน ทั้งนี้ ในส่วนของวัสดุก่อสร้างโครงการคอนโดฯในแต่ละโครงการนั้น ทางแสนสิริมีการสั่งสินค้าล่วงหน้าไว้หมดแล้ว ทำให้ไม่ได้รับผลกระทบจากการปรับขึ้นของราคาวัสดุก่อสร้าง แต่ที่ต้องปรับราคาขายเพราะ มูลค่าเพิ่มของโครงการปรับตัวไปสูงกว่าราคาที่เราขายในปัจจุบันแล้ว เช่นโครงการที่สุขุมวิท ตั้งไว้ที่ 80,000-90,000 บาทต่อตร.ม. แต่ปัจจุบันมีการขายต่อที่ 150,000-160,000 บาทต่อตร.ม.”
ทั้งนี้ การปรับราคาขายห้องชุดดังกล่าว จะส่งผลให้อัตรากำไรขั้นต้นปรับตัวสูงขึ้นระดับหนึ่ง จากเดิมที่นโยบายผลตอบแทนจากการพัฒนาโครงการคอนโดฯจะต้องมีกำไรเบื้องต้นไม่ต่ำกว่า 30-35% การปรับราคาในครั้งนี้ จะทำให้อัตรากำไรเบื้องต้นสูงขึ้นเป็น 36-38% แต่อย่างไรก็ตาม ในส่วนของการพัฒนาโครงการใหม่ บริษัทไม่ได้มีการปรับราคาขายขึ้น โดยยังคงกำไรเบื้องต้นเท่าเดิม
ในส่วนโครงการบ้านเดี่ยวนั้น นายเศรษฐากล่าวว่า ด้วยวิธีการก่อสร้างแบบบ้านสั่งสร้าง ทำให้ผลกระทบจากการขยับขึ้นของต้นทุนไม่ได้ส่งผลมากนัก เพราะทางโครงการสามารถปรับราคาได้ตามต้นทุนที่แท้แท้จริง
นายเศรษฐา กล่าวถึงแนวโน้มของยอดขายว่า ปัจจุบันมียอดขายที่รอบันทึกเป็นรายได้แล้ว 23,000 ล้านบาท โดยจะเป็นยอดขายที่สามารถรับรู้รายได้ไปจนถึงสิ้นปี 2553 สำหรับปีนี้ คาดว่าจะมียอดรับรู้รายได้รวม 17,000 ล้านบาท หรือมีอัตราการเติบโตของยอดรับรู้รายได้เพิ่มขึ้น25%เทียบกับปีที่ผ่านมา ในขณะเดียวกันคาดว่าจะมีอัตราการเติบโตของกำไรเบื้องต้นเพิ่มจากปีที่แล้ว 30-35% โดยในช่วงครึ่งปีแรก บริษัทมียอดรับรู้รายได้แล้ว 6,000 ล้านบาท และในครึ่งหลังของปี คาดว่าจะมีตัวเลขรับรู้รายได้เพิ่มเข้ามาอีก 11,000 ล้านบาท
ทั้งนี้ ยอดรับรู้รายได้ 17,000 ล้านบาท แยกออกเป็น รายได้จากบริษัท แสนสิริฯ และ บริษัทพร้อมพัฒน์ ดีเวลลอปเม้นท์ ประมาณ 11,000 ล้านบาท ส่วนที่เหลือประมาณ 30% หรือ 6,000 ล้านบาท มาจากบริษัท พลัส พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด ในส่วนของพลัสฯจะมียอดรับรู้รายได้เข้ามาอีก 4,000 ล้านบาท จากโครงการ Condo One จำนวน 11 โครงการ จากก่อนหน้านั้นที่มีปัญหาไม่สามารถโอนห้องชุดทั้งหมดให้แก่ลูกค้าได้
" แสนสิริฯยังมีกระแสเงินสดในมือ ที่สามารถซื้อที่ดินรองรับพัฒนาโครงการในอนาคตเพิ่มได้อีก 1,500 ล้านบาท ซึ่งในช่วงต้นปี ทางบริษัทได้ใช้กระแสเงินสดจำนวนหลายพันล้านบาท ซื้อที่ดินเข้ามาไว้เพื่อรอการพัฒนาโครงการ นอกจากนี้ ในช่วงครึ่งปีหลัง บริษัทมีแผนการขยายโครงการบ้านเดี่ยวอีกจำนวน 6-7 โครงการ แบ่งเป็น โครงการบ้านเดี่ยวในแบรนด์แสนสิริ 5โครงการ และแบรนด์พร้อมพัฒน์1-2โครงการ" นายเศรษฐากล่าว
***ธนายงฯหั่นราคาขายคอนโดฯ
นาย วิศิษฐ์ ชวลิตานนท์ ผู้อำนวยการฝ่ายพัฒนาโครงการ บริษัท ธนายง จำกัด (มหาชน) กล่าวว่าจะปรับลดราคาขายคอนโดฯ 2 โครงการลง คือ โครงการธนาเพลส และ นูเวล คอนโดฯ เพื่อกระตุ้นการตัดสินใจแก่ลูกค้าและนักลงทุน ทั้งนี้ เมื่อปรับราคาลงแล้วจะทำให้ราคาเฉลี่ยของคอนโดฯธนาเพลส 2 ห้องนอน เหลือเพียง 15,000 บาทต่อตร.ม.และคอนโดนูเวลเฉลี่ยเหลือเพียง 25,000บาทต่อตร.ม.
นางสาวปัทมา จันทรานุกูล รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท เอเจนซี่ ฟอร์ เรียลเอสเตท แอฟแฟร์ส จำกัด กล่าวถึงสถานการณ์ตลาดอสังหาฯในเดือนก.ค.ว่า มีจำนวนโครงการเกิดใหม่ลดลงจากเดือนมิ.ย.จำนวน 6 โครงการ โดยมีโครงการเปิดใหม่เพียง 21 โครงการ มีจำนวนหน่วยรวม 3,820 หน่วย คิดเป็นมูลค่าโครงการรวม 10,148 ล้านบาท ลดลงจากเดือนก่อนกว่า 50% โดยโครงการบ้านเดี่ยวมีจำนวน 261 หน่วย ทาวน์เฮาส์ลดลง 345 หน่วย และอาคารชุดมีจำนวนลดลงมากที่สุด โดยมียอดเปิดตัวใหม่ 1,033 หน่วย ลดลงจากเดือนที่ผ่านมา 2,143 หน่วย
นายเศรษฐา ทวีสิน กรรมการผู้จัดการ บริษัท แสนริสิ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค.เป็นต้นไป บริษัทจะปรับขึ้นราคาขายห้องชุดในโครงการคอนโดมิเนียมของบริษัททุกโครงการ 8-30% เนื่องจากในช่วงที่ผ่านมา ผลพ่วงจากการปรับขึ้นราคาน้ำมันและอัตราเงินเฟ้อที่ขยับสูงขึ้น ส่งผลให้ต้นทุนในการก่อสร้างสูงขึ้น อย่างต่อเนื่อง ประกอบกับในช่วงที่ผ่านมา ห้องชุดในโครงการที่เปิดขายอยู่ในปัจจุบันของแสนสิริ มีการขายช่วงต่อในราคาที่สูงกว่าราคาขายของบริษัทในปัจจุบัน ในขณะเดียวกัน ห้องชุดที่ลูกค้าลงทุนนำไปเพื่อปล่อยเช่านั้น ให้อัตราผลตอบแทนที่สูงถึง 8% ทำให้มูลค่าเพิ่มของห้องชุดในโครงการของแสนสิริ มีแนวโน้มสูงขึ้น
ดังนั้น เพื่อเป็นเป็นการสร้างมาตรฐานของสินค้าของบริษัท และเป็นการรองรับต้นทุนใหม่ บริษัทจึงมีแผนจะปรับขึ้นราคาขายห้องชุดในโครงการดังกล่าว โดยใช้หลักเกณฑ์ในการพิจารณาที่สำคัญ 2 ปัจจัย คือ ทำเลที่ตั้งโครงการ และขนาดของห้องชุด ซึ่งโครงการPrive’By SANSIRI หลังสวน มีการปรับราคาขายห้องชุดสูงที่สุด 30% ปัจจุบัน แสนสิริมีห้องชุดในโครงการต่างๆ ที่อยู่ระหว่างการขายประมาณ 300 ยูนิต แยกเป็นห้องชุดในพื้นที่กทม.ประมาณ 200 ยูนิต และห้องชุดในอำเภอหัวหินประมาณ 100 ยูนิต
“การที่เราปรับราคาขายห้องชุดขึ้น 8-30%นั้น ไม่ได้ต้องการเพิ่มอัตรากำไร แต่เป็นการปรับตามเพราะภาวะตลาด และมูลค่าของสินค้าที่เพิ่มขึ้น ซึ่งปัจจุบัน ลูกค้าที่ต้องการซื้อโครงการของบริษัท คงไม่สามารถซื้อในราคาเดิมได้ เนื่องจากต้นทุนการก่อสร้างโครงการปรับขึ้นไปแล้ว และการปรับขึ้นราคาครั้งนี้ ไม่ได้แตกต่างอะไรกับโครงการที่เปิดตัวใหม่ ที่มีราคาขายในระดับนี้เช่นกัน ทั้งนี้ ในส่วนของวัสดุก่อสร้างโครงการคอนโดฯในแต่ละโครงการนั้น ทางแสนสิริมีการสั่งสินค้าล่วงหน้าไว้หมดแล้ว ทำให้ไม่ได้รับผลกระทบจากการปรับขึ้นของราคาวัสดุก่อสร้าง แต่ที่ต้องปรับราคาขายเพราะ มูลค่าเพิ่มของโครงการปรับตัวไปสูงกว่าราคาที่เราขายในปัจจุบันแล้ว เช่นโครงการที่สุขุมวิท ตั้งไว้ที่ 80,000-90,000 บาทต่อตร.ม. แต่ปัจจุบันมีการขายต่อที่ 150,000-160,000 บาทต่อตร.ม.”
ทั้งนี้ การปรับราคาขายห้องชุดดังกล่าว จะส่งผลให้อัตรากำไรขั้นต้นปรับตัวสูงขึ้นระดับหนึ่ง จากเดิมที่นโยบายผลตอบแทนจากการพัฒนาโครงการคอนโดฯจะต้องมีกำไรเบื้องต้นไม่ต่ำกว่า 30-35% การปรับราคาในครั้งนี้ จะทำให้อัตรากำไรเบื้องต้นสูงขึ้นเป็น 36-38% แต่อย่างไรก็ตาม ในส่วนของการพัฒนาโครงการใหม่ บริษัทไม่ได้มีการปรับราคาขายขึ้น โดยยังคงกำไรเบื้องต้นเท่าเดิม
ในส่วนโครงการบ้านเดี่ยวนั้น นายเศรษฐากล่าวว่า ด้วยวิธีการก่อสร้างแบบบ้านสั่งสร้าง ทำให้ผลกระทบจากการขยับขึ้นของต้นทุนไม่ได้ส่งผลมากนัก เพราะทางโครงการสามารถปรับราคาได้ตามต้นทุนที่แท้แท้จริง
นายเศรษฐา กล่าวถึงแนวโน้มของยอดขายว่า ปัจจุบันมียอดขายที่รอบันทึกเป็นรายได้แล้ว 23,000 ล้านบาท โดยจะเป็นยอดขายที่สามารถรับรู้รายได้ไปจนถึงสิ้นปี 2553 สำหรับปีนี้ คาดว่าจะมียอดรับรู้รายได้รวม 17,000 ล้านบาท หรือมีอัตราการเติบโตของยอดรับรู้รายได้เพิ่มขึ้น25%เทียบกับปีที่ผ่านมา ในขณะเดียวกันคาดว่าจะมีอัตราการเติบโตของกำไรเบื้องต้นเพิ่มจากปีที่แล้ว 30-35% โดยในช่วงครึ่งปีแรก บริษัทมียอดรับรู้รายได้แล้ว 6,000 ล้านบาท และในครึ่งหลังของปี คาดว่าจะมีตัวเลขรับรู้รายได้เพิ่มเข้ามาอีก 11,000 ล้านบาท
ทั้งนี้ ยอดรับรู้รายได้ 17,000 ล้านบาท แยกออกเป็น รายได้จากบริษัท แสนสิริฯ และ บริษัทพร้อมพัฒน์ ดีเวลลอปเม้นท์ ประมาณ 11,000 ล้านบาท ส่วนที่เหลือประมาณ 30% หรือ 6,000 ล้านบาท มาจากบริษัท พลัส พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด ในส่วนของพลัสฯจะมียอดรับรู้รายได้เข้ามาอีก 4,000 ล้านบาท จากโครงการ Condo One จำนวน 11 โครงการ จากก่อนหน้านั้นที่มีปัญหาไม่สามารถโอนห้องชุดทั้งหมดให้แก่ลูกค้าได้
" แสนสิริฯยังมีกระแสเงินสดในมือ ที่สามารถซื้อที่ดินรองรับพัฒนาโครงการในอนาคตเพิ่มได้อีก 1,500 ล้านบาท ซึ่งในช่วงต้นปี ทางบริษัทได้ใช้กระแสเงินสดจำนวนหลายพันล้านบาท ซื้อที่ดินเข้ามาไว้เพื่อรอการพัฒนาโครงการ นอกจากนี้ ในช่วงครึ่งปีหลัง บริษัทมีแผนการขยายโครงการบ้านเดี่ยวอีกจำนวน 6-7 โครงการ แบ่งเป็น โครงการบ้านเดี่ยวในแบรนด์แสนสิริ 5โครงการ และแบรนด์พร้อมพัฒน์1-2โครงการ" นายเศรษฐากล่าว
***ธนายงฯหั่นราคาขายคอนโดฯ
นาย วิศิษฐ์ ชวลิตานนท์ ผู้อำนวยการฝ่ายพัฒนาโครงการ บริษัท ธนายง จำกัด (มหาชน) กล่าวว่าจะปรับลดราคาขายคอนโดฯ 2 โครงการลง คือ โครงการธนาเพลส และ นูเวล คอนโดฯ เพื่อกระตุ้นการตัดสินใจแก่ลูกค้าและนักลงทุน ทั้งนี้ เมื่อปรับราคาลงแล้วจะทำให้ราคาเฉลี่ยของคอนโดฯธนาเพลส 2 ห้องนอน เหลือเพียง 15,000 บาทต่อตร.ม.และคอนโดนูเวลเฉลี่ยเหลือเพียง 25,000บาทต่อตร.ม.
นางสาวปัทมา จันทรานุกูล รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท เอเจนซี่ ฟอร์ เรียลเอสเตท แอฟแฟร์ส จำกัด กล่าวถึงสถานการณ์ตลาดอสังหาฯในเดือนก.ค.ว่า มีจำนวนโครงการเกิดใหม่ลดลงจากเดือนมิ.ย.จำนวน 6 โครงการ โดยมีโครงการเปิดใหม่เพียง 21 โครงการ มีจำนวนหน่วยรวม 3,820 หน่วย คิดเป็นมูลค่าโครงการรวม 10,148 ล้านบาท ลดลงจากเดือนก่อนกว่า 50% โดยโครงการบ้านเดี่ยวมีจำนวน 261 หน่วย ทาวน์เฮาส์ลดลง 345 หน่วย และอาคารชุดมีจำนวนลดลงมากที่สุด โดยมียอดเปิดตัวใหม่ 1,033 หน่วย ลดลงจากเดือนที่ผ่านมา 2,143 หน่วย
