“ก้องเกียรติ” ยอมรับ ต่างชาติถอนเงินจากตลาดหุ้นไปแล้วกว่า 1 แสนล้าน ชี้เป็นสถานการณ์ที่เกิดขึ้นทั่วโลก เพราะนักลงทุนต้องการลดความเสี่ยงเพื่อถือเงินสด คาด ได้เห็นเม็ดเงินต่างชาติเริ่มไหลกลับตลาดหุ้นไทยใน Q1 ปีหน้า
นายก้องเกียรติ โอภาสวงกาส ประธานกรรมการบริหาร บล.เอเชียพลัส หรือ ASP ในฐานะนายกสมาคมนักวิเคราะห์หลักทรัพย์ มองภาพรวมตลาดหุ้นไทย ขณะนี้ พบว่า นักลงทุนต่างชาติมีการขายออกจากจากประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง มูลค่ารวม 3.8 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือกว่า 1 แสนล้านบาท ถือเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นทั่วโลก เพราะสถาบันการเงินต่างต้องการลดความเสี่ยงโดยการถือเงินสดมากกว่า
แต่การเทขายหุ้นจากตลาดหุ้นไทยนั้น ยังน้อยกว่าการเทขายหุ้นในตลาดหุ้นเกาหลีถึง 10 เท่า และเมื่อเทียบกับตลาดหุ้นญี่ปุ่นยังน้อยกว่า 20 เท่า ดังนั้น ตลาดหุ้นไทยยังมีโอกาสมีเม็ดเงินไหลกลับเข้ามาจากนักลงทุนต่างชาติหลังสถานการณ์ต่างๆ นิ่ง และอาจเม็ดเงินไหลกลับช่วงไตรมาส 1/52
“ทุกวันนี้คนกลัวกันหมดแม้ราคาหุ้นในตลาดหุ้นไทยต่ำลงมามากบางตัวต่ำกว่าบุ๊ก พี/อีต่ำ จ่ายปันผลสูง ทุกคนรู้แต่กลัวจึงถือเงินสดกันไว้ก่อน แต่เชื่อว่ายังไงโอกาสยังมีแต่ต้องปรึกษาผู้เชี่ยวชาญในการลงทุนเพื่อไม่ให้เกิดปัญหาในการลงทุน"นายก้องเกียรติ กล่าวในการสัมมนา “ทิศทางเศรษฐกิจ & ตลาดหุ้นไทยกับวิกฤตการเงินสหรัฐฯ”
นายก้องเกียรติ กล่าวว่า การที่ทางการสหรัฐฯอุดหนุนสภาพคล่องจำนวน 7 แสนล้านเหรียญ ถือว่าเหมาะสมและจะช่วยเพิ่มสภาพคล่องได้ต่อเนื่องเพียงพอที่จะแก้ไขวิกฤตที่เกิดขึ้นในขณะนี้ได้บ้าง
อย่างไรก็ตาม คาดว่า ปัญหาวิกฤตการเงินของสหรัฐฯจะสามารถคลี่คลายไปได้ต้องใช้เวลาประมาณ 1 ปี โดยเหตุการณ์ต่างๆ น่าจะจบในไตรมาส 1/52 เพราะกว่าที่การประเมินมูลค่าสินทรัพย์ของอสังหาริมทรัพย์ที่ลดลงต้องใช้เวลา รวมถึงผลกระทบตามมา คือ ความสามารถในการชำระหนี้ของผู้บริโภคในสหรัฐอเมริกา
“ความสูญเสียจากวิกฤตการเงินในสหรัฐอเมริกา รวม 1.5 ล้านล้านเหรียญ ขณะนี้ประเมินความสูญเสียไปแล้ว 5 แสนล้านเหรียญ ถือว่าประเมินความสูญเสียไปแล้ว 1 ใน 3 เหลือความสูญเสียที่ยังเหลืออยู่ประมาณ 1 ล้านล้านเหรียญที่จะต้องประเมินต่อไป” นายก้องเกียรติ กล่าว
ด้านสถานการณ์ในประเทศ คาดว่า สถาบันการเงินควรต้องระมัดระวังในการปล่อยสินเชื่อมากขึ้น แต่จากสถานการณ์ช่วงที่ผ่านมาสถาบันการเงินต่างเพิ่มสภาพคล่อง โดยเร่งระดมเงินฝากจากประชาชนเพื่อรองรับการปล่อยสินเชื่อในอนาคต ส่วนนโยบายของรัฐบาลชุดใหม่เชื่อว่านโยบายยังคงเดิม เพียงแต่ต้องการปฏิบัติที่เกิดขึ้นจริง เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับภาคเอกชนและผู้บริโภค