บิวทู ทู บิวด์ บริษัทรับสร้างบ้านเชื่อวิกฤตการเงิน ฉุดเศรษฐกิจซบยาวถึงปีหน้า ดังนั้นต้องโฟกัสให้ตรงกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย ทำงานหนักบนพื้นฐานสิ่งแวดล้อมเศรษฐกิจไม่ดี เชื่อตลาดรับสร้างบ้านไม่กระทบ เหตุผลงานรับสร้างบ้าน 2008 ดีเกินคาดยอดขายอันดับ 1 กว่า 176 ล้านบาท เชื่อทั้งปีทะลุ 650 ล้านบาท แผนปีหน้าทำงานหนักตั้งยอด 750 ล้านบาท
นาย สุธี เกตุศิริ กรรมการผู้จัดการ บริษัท บิวท์ ทู บิวด์ จำกัด และบริษัท บางกอกเฮ้าส์บิวเดอร์ จำกัด เปิดเผยว่า สถานการณ์ในปัจจุบันมีความพลิกผันอย่างมาก โดยเฉพาะด้านการเมืองที่จากเดิมถือว่ามีผลกระทบต่อธุรกิจถึง 80-90% แต่ในเมื่อได้นายกรัฐมนตรีคนใหม่ นาย สมชาย วงศ์สวัสดิ์ (น้องเขยพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร) ซึ่งเป็นคนที่ไม่แสดงออกถึงความรุนแรง อีกทั้งยังมีท่าทีที่ประนีประนอม จึงทำให้ความกดดันในตัวนายกรัฐมนตรีลดลงมาได้บ้าง แต่เชื่อว่ายังคงมีผลกระทบในเรื่องของความเกี่ยวพันกับพ.ท.ต.ทักษิณ ซึ่งอาจทำให้อยู่ได้ไม่นานนัก
ทั้งนี้ ปัญหาที่ใหญ่กว่าการเมืองในขณะนี้ คือวิกฤตการณ์ทางการเงินของสหรัฐอเมริกาที่ส่งผลกระทบไปทั่วโลก การถอนเม็ดเงินลงทุนในตลาดทั่วโลกเพื่อนำกลับไปพยุงประเทศสหรัฐฯ อาจทำให้เกิดภาวะเงินตรึงตัวได้ในอนาคตอันใกล้
“สถานการณ์ของอเมริกาตอนนี้จะเหมือนกับช่วงวิกฤตปี 40 ของไทย ทำให้เชื่อว่านับจากนี้เป็นต้นไป สถานการณ์เศรษฐกิจจะแย่ลงอีกไปจนถึงปีหน้า แม้ว่าผลที่เกิดขึ้นจะไม่กระทบกับไทยมากนัก อีกทั้งพื้นฐานเศรษฐกิจของไทยแข็งแกร่งโดยเฉพาะภาคการเกษตร การท่องเที่ยว ส่งออก แต่ไทยมีปัญหาด้านการเมืองอยู่แล้วอาจทำให้เรามีปัญหาเพิ่มขึ้นได้” นายสุธีกล่าว
สำหรับตลาดรับสร้างบ้าน อาจไม่ได้รับผลกระทบเท่ากับโครงการบ้านจัดสรร เนื่องจากกลุ่มลูกค้ามีการวางแผนสร้างบ้านมาล่วงหน้า มีเงินออม มีที่ดินเป็นของตนเอง เมื่อเกิดภาวะเศรษฐกิจไม่ดี จึงไดรับผลกระทบน้อยกว่าธุรกิจอสังหาฯประเภทอื่นๆ
อย่างไรก็ตาม การที่เศรษฐกิจอเมริกาชะลอตัวกลับมีผลดีให้ราคาน้ำมันปรับลดลง ทำให้ราคาวัสดุก่อสร้างบางชนิดปรับลดตามไปด้วย ส่วนบางชนิดที่ยังไม่ปรับลด ก็ไม่มีภาวะกดดันว่าจะปรับขึ้น ทำให้ผู้ประกอบการไม้มีความกดดันในเรื่องของต้นทุนก่อสร้าง
นายสุธี กล่าวต่อว่า สิ่งที่น่าแปลกใจมากสำหรับบริษัท แม้ว่าเศรษฐกิจไม่ดี แต่ยอดขายภายในงานรับสร้างบ้าน 2008 เมื่อวันที่ 21-24 ส.ค.ที่ผ่านมา กลับดีเกินคาด สูงสุดภายในงาน โดยยอดขายของบิวด์ ทู บิวท์ จำนวน 14 หลังมูลค่า 85 ล้านบาท ส่วนบางกอกเฮ้าส์บิวเดอร์ จำนวน 44 หลัง มูลค่า 91 ล้านบาท และยอดขายภายหลังจากงาน 17 วันจำนวน 40 ล้านบาท
สำหรับผลการดำเนินงานในรอบ 8 เดือน ที่ผ่านมา บิวท์ ทู บิวด์ 250 ล้านบาท จากเป้าหมายที่วางไว้ทั้งปี 300 ล้านบาท เชื่อว่าสิ้นปีน่าจะมียอดขายถึง 350 ล้านบาท ส่วนบางกอกเฮ้าส์บิวเดอร์ ยอดขาย 220 ล้านบาท เป้าทั้งปี 250 ล้านบาท เชื่อว่าถึงสิ้นปาน่าจะมียอดขายถึง 300 ล้านบาท รวมทั้ง 2 บริษัท 650 ล้านบาท จากเป้าเดิม 600 ล้านบาท
"แผนในปีหน้า บริษัทจะบริหารงานโดยไม่ยึดติดกับปัจจัยภายนอกที่ไม่สามารถควบคุมได้ แต่จะทำงานให้หนักขึ้น พร้อมเพิ่มแบบบ้านในระดับราคา 10-15 ล้านบาท เพื่อจับกลุ่มลูกค้าระดับพรีเมียมประมาณ 5-6 แบบ ซึ่งในปีหน้าทางกลุ่มตั้งเป้ายอดขายไว้ที่ 750 ล้านบาท"
นาย สุธี เกตุศิริ กรรมการผู้จัดการ บริษัท บิวท์ ทู บิวด์ จำกัด และบริษัท บางกอกเฮ้าส์บิวเดอร์ จำกัด เปิดเผยว่า สถานการณ์ในปัจจุบันมีความพลิกผันอย่างมาก โดยเฉพาะด้านการเมืองที่จากเดิมถือว่ามีผลกระทบต่อธุรกิจถึง 80-90% แต่ในเมื่อได้นายกรัฐมนตรีคนใหม่ นาย สมชาย วงศ์สวัสดิ์ (น้องเขยพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร) ซึ่งเป็นคนที่ไม่แสดงออกถึงความรุนแรง อีกทั้งยังมีท่าทีที่ประนีประนอม จึงทำให้ความกดดันในตัวนายกรัฐมนตรีลดลงมาได้บ้าง แต่เชื่อว่ายังคงมีผลกระทบในเรื่องของความเกี่ยวพันกับพ.ท.ต.ทักษิณ ซึ่งอาจทำให้อยู่ได้ไม่นานนัก
ทั้งนี้ ปัญหาที่ใหญ่กว่าการเมืองในขณะนี้ คือวิกฤตการณ์ทางการเงินของสหรัฐอเมริกาที่ส่งผลกระทบไปทั่วโลก การถอนเม็ดเงินลงทุนในตลาดทั่วโลกเพื่อนำกลับไปพยุงประเทศสหรัฐฯ อาจทำให้เกิดภาวะเงินตรึงตัวได้ในอนาคตอันใกล้
“สถานการณ์ของอเมริกาตอนนี้จะเหมือนกับช่วงวิกฤตปี 40 ของไทย ทำให้เชื่อว่านับจากนี้เป็นต้นไป สถานการณ์เศรษฐกิจจะแย่ลงอีกไปจนถึงปีหน้า แม้ว่าผลที่เกิดขึ้นจะไม่กระทบกับไทยมากนัก อีกทั้งพื้นฐานเศรษฐกิจของไทยแข็งแกร่งโดยเฉพาะภาคการเกษตร การท่องเที่ยว ส่งออก แต่ไทยมีปัญหาด้านการเมืองอยู่แล้วอาจทำให้เรามีปัญหาเพิ่มขึ้นได้” นายสุธีกล่าว
สำหรับตลาดรับสร้างบ้าน อาจไม่ได้รับผลกระทบเท่ากับโครงการบ้านจัดสรร เนื่องจากกลุ่มลูกค้ามีการวางแผนสร้างบ้านมาล่วงหน้า มีเงินออม มีที่ดินเป็นของตนเอง เมื่อเกิดภาวะเศรษฐกิจไม่ดี จึงไดรับผลกระทบน้อยกว่าธุรกิจอสังหาฯประเภทอื่นๆ
อย่างไรก็ตาม การที่เศรษฐกิจอเมริกาชะลอตัวกลับมีผลดีให้ราคาน้ำมันปรับลดลง ทำให้ราคาวัสดุก่อสร้างบางชนิดปรับลดตามไปด้วย ส่วนบางชนิดที่ยังไม่ปรับลด ก็ไม่มีภาวะกดดันว่าจะปรับขึ้น ทำให้ผู้ประกอบการไม้มีความกดดันในเรื่องของต้นทุนก่อสร้าง
นายสุธี กล่าวต่อว่า สิ่งที่น่าแปลกใจมากสำหรับบริษัท แม้ว่าเศรษฐกิจไม่ดี แต่ยอดขายภายในงานรับสร้างบ้าน 2008 เมื่อวันที่ 21-24 ส.ค.ที่ผ่านมา กลับดีเกินคาด สูงสุดภายในงาน โดยยอดขายของบิวด์ ทู บิวท์ จำนวน 14 หลังมูลค่า 85 ล้านบาท ส่วนบางกอกเฮ้าส์บิวเดอร์ จำนวน 44 หลัง มูลค่า 91 ล้านบาท และยอดขายภายหลังจากงาน 17 วันจำนวน 40 ล้านบาท
สำหรับผลการดำเนินงานในรอบ 8 เดือน ที่ผ่านมา บิวท์ ทู บิวด์ 250 ล้านบาท จากเป้าหมายที่วางไว้ทั้งปี 300 ล้านบาท เชื่อว่าสิ้นปีน่าจะมียอดขายถึง 350 ล้านบาท ส่วนบางกอกเฮ้าส์บิวเดอร์ ยอดขาย 220 ล้านบาท เป้าทั้งปี 250 ล้านบาท เชื่อว่าถึงสิ้นปาน่าจะมียอดขายถึง 300 ล้านบาท รวมทั้ง 2 บริษัท 650 ล้านบาท จากเป้าเดิม 600 ล้านบาท
"แผนในปีหน้า บริษัทจะบริหารงานโดยไม่ยึดติดกับปัจจัยภายนอกที่ไม่สามารถควบคุมได้ แต่จะทำงานให้หนักขึ้น พร้อมเพิ่มแบบบ้านในระดับราคา 10-15 ล้านบาท เพื่อจับกลุ่มลูกค้าระดับพรีเมียมประมาณ 5-6 แบบ ซึ่งในปีหน้าทางกลุ่มตั้งเป้ายอดขายไว้ที่ 750 ล้านบาท"