ผู้บริหารกองทุน ประสานเสียงขอนายกฯ คนกลาง แก้ความขัดแย้งบ้านเมือง หวั่นหุ่นเชิดคั่วอำนาจลากเศรษฐกิจพัง ระบุคุณสมบัติผู้นำประเทศควรเป็นคนดี และไม่มีประวัติด่างพล้อย “พิชิต”อุบเงียบ”หมัก”คัมแบ็ก ชี้นายกฯใหม่ต้องส่งเสริมให้คนไทยมีชีวิตที่ดีขึ้น ด้าน”ชูเกียรติ”ฟันธงการเมืองจบยาก แต่ตลาดหุ้นไทยยังมีโอกาสฟื้น
แหล่งข่าวผู้จัดการกองทุนรายหนึ่ง กล่าวว่า นายกรัฐมนตรีคนใหม่ที่จะแทนนายสมัคร สุนทรเวช น่าจะเป็นคนกลางที่มีศักยภาพ และมีความรู้ความสามารถมากกว่าที่จะเป็นเพียงคนกลาง และไม่มีอำนาจต่อรองอะไร เพราะการเป็นผู้นำประเทศต้องกล้าที่จะตัดสินใจในเรื่องต่างๆ รวมถึงไม่ควรให้กลุ่มคนหรือใครคนอื่นชักนำอยู่เบื้องหลัง
“ถามว่าให้นายกฯคนใหม่มาจากพรรคพลังประชาชน แล้วกลุ่มพันธมิตรฯก็ไม่ยอมรับแน่ แต่หากจะมาจากพรรคประชาธิปัตย์ ก็จะมีเหตุผลที่อ่อนเกินไป หรือจะเป็นคนจากพรรคร่วมรัฐบาลก็มองว่าไม่มีใครที่จะเหมาะสม ขณะเดียวกันเชื่อว่า แนวทางการจัดตั้งคณะรัฐมนตรีใหม่จะรีบเกิดขึ้น และการประกาศยุบสภาเพื่อเลือกตั้งใหม่ก็อาจเกิดขึ้นตามมา ในเร็วๆนี้”
อย่างไรก็ตาม แหล่งข่าวกล่าวว่าคุณสมบัติที่สำคัญของนายกรัฐมนตรีคนใหม่ ซึ่งนอกจากจะเป็นคนกลางแล้ว จำเป็นที่จะต้องมีอำนาจในการตัดสินใจที่ดีอีกด้วย เพราะที่ผ่านมาการที่ได้นายสมัครมาเป็นนายกฯ ซึ่งทุกคนก็ทราบกันดีว่านี่คือนอมินีของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และนายสมัครเองก็ได้มีการงัดข้อ หรือแหกกฏของ พ.ต.ท.ทักษิณมาสหลายครั้ง รวมถึงการที่เป็นคนก้าวร้าว จึงทำให้ไม่ได้รับการยอมรับจากหลายฝ่าย ดังนั้นหากได้นายกฯคนใหม่ที่ไม่ดีเข้า ก็ยิ่งจะซ้ำเติมปัญหาสภาพเศรษฐกิจที่เกิดขึ้น ณ ขณะนี้ให้หนักยิ่งขึ้นไปอีก
ส่วนเป้าหมายแรกที่ต้องการให้นายกฯคนใหม่เร่งดำเนินการในส่วนของอุตสาหกรรมการเงินการลงทุนนั้น แหล่งข่าวกล่าวว่า เรื่องยังกล่าวยังไม่สามารถสรุปได้ เพราะต้องทราบตัวผู้ที่จะขึ้นมาดำรงตำแหน่งให้แน่ชัดเสียก่อน อีกทั้งยังต้องรอนโยบาย วิสัยทัศน์ของผู้นำประเทศด้วยว่าจะดำเนินแนวทางไปในทิศทางใด
นายวนา พูลผล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน(บลจ.) ยูโอบี (ไทย) จำกัด กล่าวว่า นายกรัฐมนตรีคนใหม่ น่าจะเป็นคนที่ได้รับการยอมรับจากทุกฝ่าย ในแง่ของความเป็นกลาง ดังนั้นจึงไม่ควรมีประวัติหรืออดีตที่ด่างพล้อย อีกทั้งต้องสามารถแก้ไข หรือหาทางออกให้กับสถานการณ์การเมืองในปัจจุบันที่เกิดขึ้นได้
ส่วนในแง่ของการลงทุน หากสถานการณ์การเมืองนิ่งไม่มีปัญหา ก็จะทำให้ราคาหุ้นมีการปรับตัวเพิ่มขึ้น เพราะพื้นฐานศักยภาพของประเทศไทยขณะนี้ดีอยู่แล้ว ดังนั้นเมื่อทุกอย่างดีเศรษฐกิจก็จะขับเคลื่อนไปได้ และในส่วนหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการเงินการลงทุน เชื่อว่าจะมีนโยบายในการกระตุ้นการลงทุนออกมาเพิ่มเติม รวมถึงมีการประสานงานระหว่างกันมากขึ้น เพื่อให้ในภาพรวมของประเทศมีการขยายตัวไปในทิศทางที่ดี
ขณะเดียวกันที่ผ่านมา นักลงทุนต่างประเทศมีการเทขายหุ้นออกไปมากนั้น เชื่อว่าเกิดจากความไม่เชื่อมั่นในสถานการณ์ภายในประเทศ และนักลงทุนเหล่านี้จะมองภาพโดยรวมของประเทศก่อนเข้าลงทุน ดังนั้นหากทุกฝ่ายคลี่คลายไปได้ด้วยดี สิ่งที่อยากเห็นก็การฟื้นความเชื่อมั่นของนักลงทุนทั้งไทยและต่างประเทศให้กลับเข้ามาลงทุนเพิ่ม
นายประภาส ตันพิบูลย์ศักดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่การลงทุน บลจ.อยุธยา กล่าวถึงสถานการณ์การเมืองเเละการสรรหานายกคนใหม่ว่า สถานการณ์การเมืองต่อจากนี้ไปขึ้นอยู่กับบุคคลที่จะขึ้นมาดำรงตำเเหน่งนายกเเทน นาย สมัคร สุนทรเวช ซึ่งคุณสมบัตินั้นจะต้องพร้อมที่จะประนีประนอม เพื่อให้สถานการณ์ที่เกิดขึ้นขัดเเย้งน้อยลง ที่สำคัญความชัดเจนหลายด้านก็คลี่คลายมากขึ้นเเละพร้อมที่จะหาทางออกที่ดีเพื่อชาติบ้านเมืองอีกด้วย โดยส่วนตัวเชื่อว่าการสรรหานายกคนใหม่อาจจะไม่ใช่นายก สมัคร คนเดิม
นายธีรนาถ รุจิเมธาภาส รองกรรมการผู้จัดการ หัวหน้าธุรกิจกองทุนรวมและกองทุนส่วนบุคคล บลจ. ทิสโก้ จำกัด กล่าวว่า มองว่าปัญหาการเมืองในเรื่องตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ยังคงจะต้องมีการปรับปรุง เพราะไม่เช่นนั้นทางแก้ไขจะต้องตันไปเรื่อยๆ ส่วนนายสมัคร สุนทรเวช จะกลับมาใหม่หรือไม่คงจะต้องเป็นไปตามเสียงส่วนใหญ่ว่าจะเอาอย่างไร แต่ส่วนตัวในฐานะประชาชนเชื่อว่ายังคงมีทางออก และความหวังอยู่เช่นกัน
สำหรับนายกรัฐมนตรีคนใหม่นั้น ควรจะต้องเป็นคนที่นึกถึงประชาชน และเศรษฐกิจของประเทศเป็นสำคัญ โดยไม่ว่าน่ายกจะเป็นใครก็ตาม สิ่งที่ควรคำนึงมากที่สุดคือ จะต้องเป็นผู้ที่ทุกฝ่ายให้การยอมรับ เพราะขณะนี้มีความขัดแย้งแบ่งเป็นฝ่ายอยู่ ซึ่งถ้าฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดไม่ยอมรับปัญหาก็ยังคงต้องมีต่อไป อย่างไรก็ตาม หากผู้ที่จะมาดำรงตำแหน่งนายกฯ เป็นบุคคลที่ยังมีคดีความคลายคลึงกับนายสมัครอยู่ คงจะต้องติดตามไปตามกระบวน แต่ถ้ามีปัญหาเกิดขึ้นก็จะทำให้มีการชะงักกันไปเป็นจุดๆ ได้ ซึ่งการเลือกบุคคลเข้ามาดำรงตำแหน่งนี้นั้นจะต้องพิจารณาให้รอบคอบว่าคุ้มหรือไม่ หากมีความเสี่ยงในเรื่องดังกล่าว
"การเมืองขณะนี้คงจะมีผลกระทบต่อเศรษฐกิจในระยะสั้นเท่านั้น ซึ่งยังไม่มีผลอะไรมากในตอนนี้ แต่หากมีการลากกันต่อไปเชื่อว่าปัญหาจะส่งผลเสียงเพิ่มขึ้นอย่างแน่นอน"นายธีรนาถกล่าว
ด้าน นายวศิน วัฒนวรกิจกุล ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ-ฝ่ายการตลาด บลจ. บัวหลวง จำกัด กล่าวว่า สาเหตุที่ราคาหุ้นปรับตัวลดลงมากขณะนี้ ไม่ได้มีผลมากจากปัจจัยทางการเมือง แต่มาจากปัจจัยจากต่างประเทศมากกว่า ซึ่งเป็นเรื่องธรรมดาเมื่อเกิดปัญหาและนักลงทุนต่างชาติก็จะขายหุ้นออกไป แต่จากที่ติดตามข้อมูลพบว่าตัวเลขผลการดำเนินงานของบริษัทจดทะเบียนไม่ได้แย่ลงไปมาก มีเพียงไตรมาส2 ที่ได้รับผลกระทบจากปัญหาเงินเฟ้อที่เท่านั้น แต่เมื่อสถานการณ์ต่างๆมีการคลี่คลายไปในเรื่องที่ดี เชื่อว่าภาพรวมการลงทุนจะดีขึ้นจนถึงไตรมาส 2ปีหน้า
นายพิชิต อัตราทิตย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) เอ็มเอฟซี จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า อยากเห็นนายกรัฐมนตรีคนใหม่ ที่จะเข้ามาบริหารประเทศ ให้ความสำคัญกับการลงทุนให้ขยายตัวได้มากขึ้น เพราะอีกซีกหนึ่งคือ นโยบายภาครัฐ มีส่วนช่วยสนับสนุนให้บริษัททั้งที่จดทะเบียนและไม่จดทะเบียน มีศักยภาพในการเติบโต และมีความสามารถในการแข่งขันในเวทีโลกได้ ส่วนกระแสข่าวการกลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีอีกครั้งของนายสมัคร สุนทรเวชนั้น ตนไม่ขอแสดงความเห็น
"อยากเห็นการเมืองที่เอื้อกับการลงทุนของประเทศ รวมถึงการออม การทำให้คนไทยมีงานทำ และความเป็นอยู่ดีขึ้น"นายพิชิตกล่าว
**การเมืองไม่จบ**
นายชูเกียรติ ธิติหิรัญเจริญ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารการลงทุน สายงานการลงทุน บลจ. ไทยพาณิชย์ จำกัด กล่าวว่า การที่ประเทศไทยจะมีนายกรัฐมนตรีคนเดิมเข้ามาดำรงตำแหน่ง หรือเปลี่ยนตัวนายกหรัฐมนตรีเป็นคนใหม่ ก็ไม่น่าจะส่งผลกระทบต่อตลาดหุ้นมากนัก เนื่องจากนักลงทุนส่วนใหญ่จะมองในภาพใหญ่ของการลงทุน โดยนักลงทุนยังเชื่อมั่นในศักยภาพของตัวเอง ในการเลือกสรรหุ้นของตัวเอง ในการเลือกสรรหุ้นของตัวเอง และคาดว่าในวันศุกร์ที่จะถึงนี้อาจจะมีอะไรให้สามารถเข้าไปเก็งกำไรได้ เชื่อว่าราคาในพื้นในขณะนี้มีราคาที่สมเหตุสมผล ในระดับหุ้นในปัจจุบัน โดย P/E อยู่ที่ประมาณ 8-9 บนกำไรของตลาดหุ้นโดยเฉลี่ยที่ 5-10% ในระดับ 640-650 จุด โดยคาดว่าภายในรอบ 1 ปีนี้ P/E น่าจะกลับไปที่ 10 และดัชนีกลับไปที่ระดับ 730-740 จุด โดยอาจะมาจากการที่การเมืองนิ่งขึ้น
ทั้งนี้ เชื่อว่าโอกาสที่ปัญหาทางการเมืองจะจบเลยเป็นได้ยาก โดยนักลงทุนไม่คาดหวังว่าปัญหาการเมืองจะจบลง และอาจจะส่งผลให้นักลงทุนเริ่มมีความชินชากับเหตุการณ์ดังเช่นตอนที่เกิดเหตุการณ์ในภาคใต้ที่ทุกคนเลิกหวังกันไปแล้วว่าสถานการณ์จะจบลง แม้ว่าในขณะนี้ราคาหุ้นในประเทศไทยค่อนข้างถูก แต่ยังไม่เห็นโอกาสที่จะปรับตัวขึ้นไป และมีความผันผวนอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากข่าวดีไม่ค่อยมีเข้ามา แต่กลับมีแต่ข่าวร้ายเข้ามาแบบรายวัน โดยเชื่อว่าปัญหาทางการเมืองไม่น่าจะจบ แม้ว่าปัญหาทางการเมืองไม่จบ แต่ไม่น่าจะเลวร้ายไปกว่านี้อีกแล้ว
แหล่งข่าวผู้จัดการกองทุนรายหนึ่ง กล่าวว่า นายกรัฐมนตรีคนใหม่ที่จะแทนนายสมัคร สุนทรเวช น่าจะเป็นคนกลางที่มีศักยภาพ และมีความรู้ความสามารถมากกว่าที่จะเป็นเพียงคนกลาง และไม่มีอำนาจต่อรองอะไร เพราะการเป็นผู้นำประเทศต้องกล้าที่จะตัดสินใจในเรื่องต่างๆ รวมถึงไม่ควรให้กลุ่มคนหรือใครคนอื่นชักนำอยู่เบื้องหลัง
“ถามว่าให้นายกฯคนใหม่มาจากพรรคพลังประชาชน แล้วกลุ่มพันธมิตรฯก็ไม่ยอมรับแน่ แต่หากจะมาจากพรรคประชาธิปัตย์ ก็จะมีเหตุผลที่อ่อนเกินไป หรือจะเป็นคนจากพรรคร่วมรัฐบาลก็มองว่าไม่มีใครที่จะเหมาะสม ขณะเดียวกันเชื่อว่า แนวทางการจัดตั้งคณะรัฐมนตรีใหม่จะรีบเกิดขึ้น และการประกาศยุบสภาเพื่อเลือกตั้งใหม่ก็อาจเกิดขึ้นตามมา ในเร็วๆนี้”
อย่างไรก็ตาม แหล่งข่าวกล่าวว่าคุณสมบัติที่สำคัญของนายกรัฐมนตรีคนใหม่ ซึ่งนอกจากจะเป็นคนกลางแล้ว จำเป็นที่จะต้องมีอำนาจในการตัดสินใจที่ดีอีกด้วย เพราะที่ผ่านมาการที่ได้นายสมัครมาเป็นนายกฯ ซึ่งทุกคนก็ทราบกันดีว่านี่คือนอมินีของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และนายสมัครเองก็ได้มีการงัดข้อ หรือแหกกฏของ พ.ต.ท.ทักษิณมาสหลายครั้ง รวมถึงการที่เป็นคนก้าวร้าว จึงทำให้ไม่ได้รับการยอมรับจากหลายฝ่าย ดังนั้นหากได้นายกฯคนใหม่ที่ไม่ดีเข้า ก็ยิ่งจะซ้ำเติมปัญหาสภาพเศรษฐกิจที่เกิดขึ้น ณ ขณะนี้ให้หนักยิ่งขึ้นไปอีก
ส่วนเป้าหมายแรกที่ต้องการให้นายกฯคนใหม่เร่งดำเนินการในส่วนของอุตสาหกรรมการเงินการลงทุนนั้น แหล่งข่าวกล่าวว่า เรื่องยังกล่าวยังไม่สามารถสรุปได้ เพราะต้องทราบตัวผู้ที่จะขึ้นมาดำรงตำแหน่งให้แน่ชัดเสียก่อน อีกทั้งยังต้องรอนโยบาย วิสัยทัศน์ของผู้นำประเทศด้วยว่าจะดำเนินแนวทางไปในทิศทางใด
นายวนา พูลผล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน(บลจ.) ยูโอบี (ไทย) จำกัด กล่าวว่า นายกรัฐมนตรีคนใหม่ น่าจะเป็นคนที่ได้รับการยอมรับจากทุกฝ่าย ในแง่ของความเป็นกลาง ดังนั้นจึงไม่ควรมีประวัติหรืออดีตที่ด่างพล้อย อีกทั้งต้องสามารถแก้ไข หรือหาทางออกให้กับสถานการณ์การเมืองในปัจจุบันที่เกิดขึ้นได้
ส่วนในแง่ของการลงทุน หากสถานการณ์การเมืองนิ่งไม่มีปัญหา ก็จะทำให้ราคาหุ้นมีการปรับตัวเพิ่มขึ้น เพราะพื้นฐานศักยภาพของประเทศไทยขณะนี้ดีอยู่แล้ว ดังนั้นเมื่อทุกอย่างดีเศรษฐกิจก็จะขับเคลื่อนไปได้ และในส่วนหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการเงินการลงทุน เชื่อว่าจะมีนโยบายในการกระตุ้นการลงทุนออกมาเพิ่มเติม รวมถึงมีการประสานงานระหว่างกันมากขึ้น เพื่อให้ในภาพรวมของประเทศมีการขยายตัวไปในทิศทางที่ดี
ขณะเดียวกันที่ผ่านมา นักลงทุนต่างประเทศมีการเทขายหุ้นออกไปมากนั้น เชื่อว่าเกิดจากความไม่เชื่อมั่นในสถานการณ์ภายในประเทศ และนักลงทุนเหล่านี้จะมองภาพโดยรวมของประเทศก่อนเข้าลงทุน ดังนั้นหากทุกฝ่ายคลี่คลายไปได้ด้วยดี สิ่งที่อยากเห็นก็การฟื้นความเชื่อมั่นของนักลงทุนทั้งไทยและต่างประเทศให้กลับเข้ามาลงทุนเพิ่ม
นายประภาส ตันพิบูลย์ศักดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่การลงทุน บลจ.อยุธยา กล่าวถึงสถานการณ์การเมืองเเละการสรรหานายกคนใหม่ว่า สถานการณ์การเมืองต่อจากนี้ไปขึ้นอยู่กับบุคคลที่จะขึ้นมาดำรงตำเเหน่งนายกเเทน นาย สมัคร สุนทรเวช ซึ่งคุณสมบัตินั้นจะต้องพร้อมที่จะประนีประนอม เพื่อให้สถานการณ์ที่เกิดขึ้นขัดเเย้งน้อยลง ที่สำคัญความชัดเจนหลายด้านก็คลี่คลายมากขึ้นเเละพร้อมที่จะหาทางออกที่ดีเพื่อชาติบ้านเมืองอีกด้วย โดยส่วนตัวเชื่อว่าการสรรหานายกคนใหม่อาจจะไม่ใช่นายก สมัคร คนเดิม
นายธีรนาถ รุจิเมธาภาส รองกรรมการผู้จัดการ หัวหน้าธุรกิจกองทุนรวมและกองทุนส่วนบุคคล บลจ. ทิสโก้ จำกัด กล่าวว่า มองว่าปัญหาการเมืองในเรื่องตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ยังคงจะต้องมีการปรับปรุง เพราะไม่เช่นนั้นทางแก้ไขจะต้องตันไปเรื่อยๆ ส่วนนายสมัคร สุนทรเวช จะกลับมาใหม่หรือไม่คงจะต้องเป็นไปตามเสียงส่วนใหญ่ว่าจะเอาอย่างไร แต่ส่วนตัวในฐานะประชาชนเชื่อว่ายังคงมีทางออก และความหวังอยู่เช่นกัน
สำหรับนายกรัฐมนตรีคนใหม่นั้น ควรจะต้องเป็นคนที่นึกถึงประชาชน และเศรษฐกิจของประเทศเป็นสำคัญ โดยไม่ว่าน่ายกจะเป็นใครก็ตาม สิ่งที่ควรคำนึงมากที่สุดคือ จะต้องเป็นผู้ที่ทุกฝ่ายให้การยอมรับ เพราะขณะนี้มีความขัดแย้งแบ่งเป็นฝ่ายอยู่ ซึ่งถ้าฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดไม่ยอมรับปัญหาก็ยังคงต้องมีต่อไป อย่างไรก็ตาม หากผู้ที่จะมาดำรงตำแหน่งนายกฯ เป็นบุคคลที่ยังมีคดีความคลายคลึงกับนายสมัครอยู่ คงจะต้องติดตามไปตามกระบวน แต่ถ้ามีปัญหาเกิดขึ้นก็จะทำให้มีการชะงักกันไปเป็นจุดๆ ได้ ซึ่งการเลือกบุคคลเข้ามาดำรงตำแหน่งนี้นั้นจะต้องพิจารณาให้รอบคอบว่าคุ้มหรือไม่ หากมีความเสี่ยงในเรื่องดังกล่าว
"การเมืองขณะนี้คงจะมีผลกระทบต่อเศรษฐกิจในระยะสั้นเท่านั้น ซึ่งยังไม่มีผลอะไรมากในตอนนี้ แต่หากมีการลากกันต่อไปเชื่อว่าปัญหาจะส่งผลเสียงเพิ่มขึ้นอย่างแน่นอน"นายธีรนาถกล่าว
ด้าน นายวศิน วัฒนวรกิจกุล ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ-ฝ่ายการตลาด บลจ. บัวหลวง จำกัด กล่าวว่า สาเหตุที่ราคาหุ้นปรับตัวลดลงมากขณะนี้ ไม่ได้มีผลมากจากปัจจัยทางการเมือง แต่มาจากปัจจัยจากต่างประเทศมากกว่า ซึ่งเป็นเรื่องธรรมดาเมื่อเกิดปัญหาและนักลงทุนต่างชาติก็จะขายหุ้นออกไป แต่จากที่ติดตามข้อมูลพบว่าตัวเลขผลการดำเนินงานของบริษัทจดทะเบียนไม่ได้แย่ลงไปมาก มีเพียงไตรมาส2 ที่ได้รับผลกระทบจากปัญหาเงินเฟ้อที่เท่านั้น แต่เมื่อสถานการณ์ต่างๆมีการคลี่คลายไปในเรื่องที่ดี เชื่อว่าภาพรวมการลงทุนจะดีขึ้นจนถึงไตรมาส 2ปีหน้า
นายพิชิต อัตราทิตย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) เอ็มเอฟซี จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า อยากเห็นนายกรัฐมนตรีคนใหม่ ที่จะเข้ามาบริหารประเทศ ให้ความสำคัญกับการลงทุนให้ขยายตัวได้มากขึ้น เพราะอีกซีกหนึ่งคือ นโยบายภาครัฐ มีส่วนช่วยสนับสนุนให้บริษัททั้งที่จดทะเบียนและไม่จดทะเบียน มีศักยภาพในการเติบโต และมีความสามารถในการแข่งขันในเวทีโลกได้ ส่วนกระแสข่าวการกลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีอีกครั้งของนายสมัคร สุนทรเวชนั้น ตนไม่ขอแสดงความเห็น
"อยากเห็นการเมืองที่เอื้อกับการลงทุนของประเทศ รวมถึงการออม การทำให้คนไทยมีงานทำ และความเป็นอยู่ดีขึ้น"นายพิชิตกล่าว
**การเมืองไม่จบ**
นายชูเกียรติ ธิติหิรัญเจริญ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารการลงทุน สายงานการลงทุน บลจ. ไทยพาณิชย์ จำกัด กล่าวว่า การที่ประเทศไทยจะมีนายกรัฐมนตรีคนเดิมเข้ามาดำรงตำแหน่ง หรือเปลี่ยนตัวนายกหรัฐมนตรีเป็นคนใหม่ ก็ไม่น่าจะส่งผลกระทบต่อตลาดหุ้นมากนัก เนื่องจากนักลงทุนส่วนใหญ่จะมองในภาพใหญ่ของการลงทุน โดยนักลงทุนยังเชื่อมั่นในศักยภาพของตัวเอง ในการเลือกสรรหุ้นของตัวเอง ในการเลือกสรรหุ้นของตัวเอง และคาดว่าในวันศุกร์ที่จะถึงนี้อาจจะมีอะไรให้สามารถเข้าไปเก็งกำไรได้ เชื่อว่าราคาในพื้นในขณะนี้มีราคาที่สมเหตุสมผล ในระดับหุ้นในปัจจุบัน โดย P/E อยู่ที่ประมาณ 8-9 บนกำไรของตลาดหุ้นโดยเฉลี่ยที่ 5-10% ในระดับ 640-650 จุด โดยคาดว่าภายในรอบ 1 ปีนี้ P/E น่าจะกลับไปที่ 10 และดัชนีกลับไปที่ระดับ 730-740 จุด โดยอาจะมาจากการที่การเมืองนิ่งขึ้น
ทั้งนี้ เชื่อว่าโอกาสที่ปัญหาทางการเมืองจะจบเลยเป็นได้ยาก โดยนักลงทุนไม่คาดหวังว่าปัญหาการเมืองจะจบลง และอาจจะส่งผลให้นักลงทุนเริ่มมีความชินชากับเหตุการณ์ดังเช่นตอนที่เกิดเหตุการณ์ในภาคใต้ที่ทุกคนเลิกหวังกันไปแล้วว่าสถานการณ์จะจบลง แม้ว่าในขณะนี้ราคาหุ้นในประเทศไทยค่อนข้างถูก แต่ยังไม่เห็นโอกาสที่จะปรับตัวขึ้นไป และมีความผันผวนอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากข่าวดีไม่ค่อยมีเข้ามา แต่กลับมีแต่ข่าวร้ายเข้ามาแบบรายวัน โดยเชื่อว่าปัญหาทางการเมืองไม่น่าจะจบ แม้ว่าปัญหาทางการเมืองไม่จบ แต่ไม่น่าจะเลวร้ายไปกว่านี้อีกแล้ว