xs
xsm
sm
md
lg

เบรกกองทุนไทยมาเสก ธปท.ชี้ตลาดโลกผันผวน-คู่แข่งปึ๊ก

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

บิ๊กแบงก์ชาติชี้ควรชะลอการตั้งกองทุนความมั่งคั่งแห่งชาติ (SWF) หวั่นได้ไม่คุ้มเสีย เหตุตลาดการเงินโลกผันผวนสูง สู้ยากขึ้นเพราะคู่แข่งมีหน้าตักมากขึ้น และ พ.ร.บ.ธปท.ฉบับใหม่เปิดช่องให้นำทุนสำรองฯ ออกมาใช้ประโยชน์อยู่แล้ว เผยนโยบายค่าเงินช่วงนี้เน้นดูแลไม่ให้ขึ้นลงมากเกินไป

นางสุชาดา กิระกุล ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายตลาดการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า การจัดตั้งกองทุนเพื่อความมั่งคั่งแห่งชาติ (Sovereign Wealth Fund) ของไทยในช่วงนี้อาจจะไม่เหมาะสม เนื่องจากภาวะตลาดเงินของโลกค่อนข้างผันผวนจากเงินทุนเคลื่อนย้ายของนักลงทุนต่างชาติ ประกอบกับต้องใช้เม็ดเงินดำเนินการที่สูงมาก ทั้งนี้ ในช่วงที่ผ่านแต่ละประเทศมีทุนสำรองระหว่างประเทศสูงขึ้น ทำให้มีการนำมาตั้งกองทุนมากขึ้น จึงอาจจะสู้ขนาดกองทุนใหญ่ไม่ได้ อย่างไรก็ตาม การตัดสินใจขั้นสุดท้ายจะดำเนินการอย่างไร ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของกระทรวงการคลังต่อไป

“ถ้าจะตั้งกองทุนขึ้นมาเพื่อแสวงหากำไร เราก็ไม่ค่อยเห็นด้วย เพราะตอนนี้ พ.ร.บ.ธปท.ฉบับใหม่ ที่ใช้อยู่ในปัจจุบันก็ได้เปิดทางให้สามารถนำเงินสำรองระหว่างประเทศไปหาผลประโยชน์ได้กว้างขึ้นอยู่แล้ว” นางสุชาดากล่าว

นางสุชาดากล่าวว่า จากสถานการณ์เศรษฐกิจโลกและภาวะเศรษฐกิจไทยในปัจจุบัน ประเทศไทยควรมีทุนสำรองเอาไว้ส่วนหนึ่ง เพื่อความมั่นคงและมีควรมีเผื่อไว้ให้สอดคล้องกับพื้นฐานเศรษฐกิจไทยที่จะขยายตัวต่อไปในอนาคตด้วย

ส่วนการเคลื่อนไหวของค่าเงินบาทในช่วงนี้ ธปท.ได้มีการติดตามที่ใกล้ชิดเพื่อไม่ให้ค่าเงินบาทมีความผันผวน ซึ่งจากการหารือในเบื้องต้นกับผู้ประกอบการส่งออกและนำเข้า โดยทั้ง 2 ฝ่ายก็ไม่อยากให้ค่าเงินบาทแข็งหรืออ่อนค่าเพื่อประโยชน์เฉพาะของฝ่ายตัวเองอยู่แล้ว แต่ขอให้ค่าเงินบาทนิ่งๆ ไม่ผันผวนเท่านั้น เพราะจะได้มีเวลาปรับตัวได้

“การเตรียมการรับมือกับค่าเงินบาทที่กำลังผันผวนในช่วงนี้ ธปท.คงไม่ต้องถึงขั้นตื่นตระหนกเตรียมการออกมาตรการรับมือใหม่ออกมาในช่วงนี้ เพราะในภาวะนี้ธปท.ก็มีการติดตามใกล้ชิดอยู่แล้ว เพื่อให้ค่าเงินนิ่งขึ้น และให้ทั้งผู้ส่งออกและนำเข้าปรับตัวได้ และภาวะค่าเงินบาทที่อ่อนค่าลงในช่วงนี้คงเลี่ยงไม่ได้ที่กระทบการนำเข้า แต่ตรงข้ามก็ส่งผลดีต่อการส่งออก” นางสุชาดากล่าว

แหล่งข่าว ธปท.ระบุว่า นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.คลัง โดยการสนับสนุนของที่ปรึกาษ มีนโยบายให้ตั้งกองทุนดังกล่าวซึ่งใช้หลักการเดียวกับเทมาเสกของสิงคโปร์ สิ่งที่ นพ.สุรพงษ์อยากเห็นคือการใช้กองทุนบริหารทุนสำรองฯ เพื่อให้รัฐบาลมาบริหารจัดการ นำไปลงทุนแสวงหากำไรในลักษณะที่มีความเสี่ยงแต่ให้อัตราผลตอบแทนที่สูง

แนวคิดดังกล่าว ได้ถูกมอบหมายให้ สศค.ไปศึกษามาระยะหนึ่ง มีการวางแผนตั้งคณะกรรมการหรือบอร์ดกองทุน โดยมีทีมที่ปรึกษา รมว.คลัง เป็นผู้อยู่เบื้องหลังการดำเนินการ วงเงินที่ต้องการดึงจากทุนสำรองเงินตราระหว่างประเทศคาดว่าเบื้องต้นไม่ต่ำกว่า 10,000 ล้านเหรียญ (335,000 ล้านบาท) โดยอ้างว่าเพื่อการลงทุนตลาดหุ้น ตราสารหนี้ ลงทุนในทรัพย์สินหรือลงทุนโดยตรงในธุรกิจขนาดใหญ่ ตามที่กฎหมายอนุญาต รวมประมาณ 60,000 ล้านเหรียญ (จากทุนสำรองฯ ในปัจจุบัน 120,000 ล้านเหรียญ) ซึ่งใน 60,000 ล้านเหรียญ ถูกใช้ในการสนับสนุนการพิมพ์ธนบัตรประมาณ 40,000 ล้านเหรียญ
กำลังโหลดความคิดเห็น