L&E ย้ำปีนี้โตตามเป้า 20-25% แม้ได้รับผลกระทบจากต้นทุนวัตถุดิบบ้าง แต่ไม่เสียหาย เร่งเปิดโชว์รูมอีก 1 แห่งตุลาคมปีนี้ หวังทำยอดขายเพิ่ม ขณะที่กรอสมาร์จิ้นอยู่ระดับเกือบ 30% ส่วนหลอดไฟฟ้า LED ได้รับความสนใจจากลูกค้าต่างชาติจนมีออร์เดอร์เข้ามา เผยรอรับงานเมกะโปร์เจ็กต์ของรัฐในอนาคต
นายปกรณ์ บริมาสพร ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ไลท์ติ้ง แอนด์ อีควิปเมนท์ จำกัด (มหาชน) ( L&E) เปิดเผยว่าผลงานในครึ่งปีหลังนี้ จะยังคงเป็นไปในทิศทางเดียวกันกับครึ่งปีแรกที่ บริษัททำไว้ และมั่นใจว่าปีนี้ผลงานจะเติบโตได้ตามเป้าหมาย 20-25% จากปี 50 ที่บริษัททำรายได้ไว้ที่ 1,400 ล้านบาท แม้ว่าบริษัทจะได้รับผลกระทบที่เกิดจากราคาวัตถุดิบเหล็กและการปรับเพิ่มขึ้นของราคาน้ำมันบ้าง แต่ไม่มากนัก
ขณะที่ผลดีหลังจากบริษัทเข้าร่วมงาน THE LIGHT + BUILDING EXHIBITION ซึ่งเป็นงานแสดงสินค้าด้านโคมไฟฟ้าใหญ่ที่สุดในโลก เมื่อต้นปี 51 พบว่ามีลูกค้ารู้จักมากขึ้น ซึ่งลูกค้าใหม่ ๆ ใน ยุโรปและเอเชียอาคเนย์ เพิ่มจากแต่ก่อนนี้มาก ไม่รวมกับลูกค้าแถบประเทศเพื่อนบ้าน ที่บริษัทส่งสินค้าออกขายบ้างแต่ไม่มากนัก
" สัดส่วนการส่งออกของเรายังน้อย แต่ก็เพิ่มมาที่ 3% จากปีก่อนที่มี 2 % ถือว่าเพิ่มขึ้นตามแผน และจะขยับเพิ่มในอนาคต โดยการบุกตลาดเราจะไปลักษณะของลูกค้าที่เป็นตัวแทนอยู่แล้ว รับสินค้าที่หลากหลายจากเรามากขึ้น ขยายลูกค้าจากฐานเดิมที่มีอยู่ " นายปกรณ์กล่าว
นอกจากนี้ที่ผ่านมา แม้บริษัทจะเน้นการขายในลักษณะผลิตตามแบบและคำสั่งของลูกค้า หรือ OEM ในสินค้ากลุ่มโคมไฟฟ้าต่าง ๆ โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์จากหลอด LED ถือเป็นนวัตกรรมใหม่ และผลจากที่บริษัทได้ติดตั้งที่ใต้หลังคาของตึกใบหยกทาวเวอร์ 2 นั้น จะทำให้ดึงดูดลูกค้าใหม่และเป็นที่รู้จักของลูกค้ามากขึ้นด้วย เพราะหลอดไฟแบบดังกล่าว มีความยืดหยุ่นมาก อายุการใช้งานนานถึง 50,000 ชั่วโมง และสามารถเลือกสีได้ตามความต้องการ นำไปปรับแต่งเป็นโคมไฟได้หลากหลายชนิด ที่สำคัญการสิ้นเปลืองพลังงานน้อยกว่าหลอดไฟชนิดอื่น ๆ ที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบัน
"ลูกค้าใหม่ที่เราได้มาก็มีจากบาหลี เวียดนาม กัมพูชา และฟิลิปปินส์ เพิ่มจากก่อนหน้าที่เรามีแค่ประเทศแถบเพื่อนบ้าน เพราะเราทดลองตลาด แต่ก็ได้รับการตอบรับดีจากลูกค้า " นายปกรณ์กล่าว
นายปกรณ์กล่าวว่า จากการเป็นผู้นำตลาด ผลิตสินค้าคุณภาพ และราคาแข่งขันได้ บวกกับบุคลากรที่มีประสิทธิภาพในการผลิตและพัฒนาสินค้าต่อเนื่อง ทำให้บริษัทสามารถแข่งขันได้ และถือว่าตลาดโคมไฟไม่ได้รุนแรงนัก ซึ่งขณะนี้บริษัทผลิตเพียง 50% ของกำลังการผลิต 3 ล้านโคมต่อปี และบริษัทจะเพิ่มกำลังการผลิตอีก ด้วยการปรับปรุงเครื่องจักร คาดแล้วเสร็จและผลิตได้ปลายปีนี้ เพื่อเป็นการรองรับออร์เดอร์ที่จะมีเข้ามาเพิ่มขึ้นในอนาคต
อย่างไรก็ดี จากเศรษฐกิจที่ซบเซาและปัญหาการเมือง รวมทั้งราคาน้ำมันที่พุ่งสูง ทำให้การก่อสร้างต่าง ๆ ชะลอตัวลง ทำให้บริษัทต้องหันมาผลิตสินค้าที่เป็นคอนซูเมอร์โปรดักส์เพิ่มขึ้น และเป็นชนิดพิเศษเพื่อเน้น ขายให้กับลูกค้าที่พักอาศัยตามคอนโด และบ้าน
" ต้นทุนเราช่วงนี้อาจดีขึ้น เพราะราคาน้ำมันเริ่มลดลงบ้าง และเชื่อว่าราคาเหล็กในตลาดโลกจะทรงตัวช่วงปลายปี ซึ่งจะส่งผลดีต่อเรา เพราะต้นทุนเราจะลดลง ขณะที่ตัวเลขกรอสมาร์จิ้นของเราอยู่ที่ประมาณ 29-30% ไม่แตกต่างจากปีที่ผ่านมา " นายปกรณ์กล่าว
นายปกรณ์กล่าวว่าปลายปีนี้ L&E จะเปิดโชว์รูมเพิ่มอีก 1 แห่งเดือนตุลาคมนี้ หลังเปิดแล้ว 1 แห่ง โดยใช้งบประมาณ 10 ล้านบาท เฉพาะในกรุงเทพฯ เพื่อวางสินค้าที่หลากหลายและสะดวกต่อลูกค้าในการเลือกซื้อสินค้า ขณะที่ต่างจังหวัดจะใช้งบแห่งละ 1 ล้านบาทเท่านั้น เพื่อระบายสินค้าและเพิ่มยอดขาย ตลอดจนให้ลูกค้ารู้จักสินค้าของบริษัทได้มากขึ้น ซึ่งเป็นไปตามแผนการจำหน่ายสินค้า
สำหรับงานเมกะโปรเจ็กต์ ที่จะเกิดขึ้นนั้น คาดว่าอีก 3 ปีกว่าจะเกิดขึ้น และเมื่อถึงเวลานั้น บริษัทจะได้รับอานิสงส์จากโครงการดังกล่าวไม่มากก็น้อย
นายปกรณ์ บริมาสพร ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ไลท์ติ้ง แอนด์ อีควิปเมนท์ จำกัด (มหาชน) ( L&E) เปิดเผยว่าผลงานในครึ่งปีหลังนี้ จะยังคงเป็นไปในทิศทางเดียวกันกับครึ่งปีแรกที่ บริษัททำไว้ และมั่นใจว่าปีนี้ผลงานจะเติบโตได้ตามเป้าหมาย 20-25% จากปี 50 ที่บริษัททำรายได้ไว้ที่ 1,400 ล้านบาท แม้ว่าบริษัทจะได้รับผลกระทบที่เกิดจากราคาวัตถุดิบเหล็กและการปรับเพิ่มขึ้นของราคาน้ำมันบ้าง แต่ไม่มากนัก
ขณะที่ผลดีหลังจากบริษัทเข้าร่วมงาน THE LIGHT + BUILDING EXHIBITION ซึ่งเป็นงานแสดงสินค้าด้านโคมไฟฟ้าใหญ่ที่สุดในโลก เมื่อต้นปี 51 พบว่ามีลูกค้ารู้จักมากขึ้น ซึ่งลูกค้าใหม่ ๆ ใน ยุโรปและเอเชียอาคเนย์ เพิ่มจากแต่ก่อนนี้มาก ไม่รวมกับลูกค้าแถบประเทศเพื่อนบ้าน ที่บริษัทส่งสินค้าออกขายบ้างแต่ไม่มากนัก
" สัดส่วนการส่งออกของเรายังน้อย แต่ก็เพิ่มมาที่ 3% จากปีก่อนที่มี 2 % ถือว่าเพิ่มขึ้นตามแผน และจะขยับเพิ่มในอนาคต โดยการบุกตลาดเราจะไปลักษณะของลูกค้าที่เป็นตัวแทนอยู่แล้ว รับสินค้าที่หลากหลายจากเรามากขึ้น ขยายลูกค้าจากฐานเดิมที่มีอยู่ " นายปกรณ์กล่าว
นอกจากนี้ที่ผ่านมา แม้บริษัทจะเน้นการขายในลักษณะผลิตตามแบบและคำสั่งของลูกค้า หรือ OEM ในสินค้ากลุ่มโคมไฟฟ้าต่าง ๆ โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์จากหลอด LED ถือเป็นนวัตกรรมใหม่ และผลจากที่บริษัทได้ติดตั้งที่ใต้หลังคาของตึกใบหยกทาวเวอร์ 2 นั้น จะทำให้ดึงดูดลูกค้าใหม่และเป็นที่รู้จักของลูกค้ามากขึ้นด้วย เพราะหลอดไฟแบบดังกล่าว มีความยืดหยุ่นมาก อายุการใช้งานนานถึง 50,000 ชั่วโมง และสามารถเลือกสีได้ตามความต้องการ นำไปปรับแต่งเป็นโคมไฟได้หลากหลายชนิด ที่สำคัญการสิ้นเปลืองพลังงานน้อยกว่าหลอดไฟชนิดอื่น ๆ ที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบัน
"ลูกค้าใหม่ที่เราได้มาก็มีจากบาหลี เวียดนาม กัมพูชา และฟิลิปปินส์ เพิ่มจากก่อนหน้าที่เรามีแค่ประเทศแถบเพื่อนบ้าน เพราะเราทดลองตลาด แต่ก็ได้รับการตอบรับดีจากลูกค้า " นายปกรณ์กล่าว
นายปกรณ์กล่าวว่า จากการเป็นผู้นำตลาด ผลิตสินค้าคุณภาพ และราคาแข่งขันได้ บวกกับบุคลากรที่มีประสิทธิภาพในการผลิตและพัฒนาสินค้าต่อเนื่อง ทำให้บริษัทสามารถแข่งขันได้ และถือว่าตลาดโคมไฟไม่ได้รุนแรงนัก ซึ่งขณะนี้บริษัทผลิตเพียง 50% ของกำลังการผลิต 3 ล้านโคมต่อปี และบริษัทจะเพิ่มกำลังการผลิตอีก ด้วยการปรับปรุงเครื่องจักร คาดแล้วเสร็จและผลิตได้ปลายปีนี้ เพื่อเป็นการรองรับออร์เดอร์ที่จะมีเข้ามาเพิ่มขึ้นในอนาคต
อย่างไรก็ดี จากเศรษฐกิจที่ซบเซาและปัญหาการเมือง รวมทั้งราคาน้ำมันที่พุ่งสูง ทำให้การก่อสร้างต่าง ๆ ชะลอตัวลง ทำให้บริษัทต้องหันมาผลิตสินค้าที่เป็นคอนซูเมอร์โปรดักส์เพิ่มขึ้น และเป็นชนิดพิเศษเพื่อเน้น ขายให้กับลูกค้าที่พักอาศัยตามคอนโด และบ้าน
" ต้นทุนเราช่วงนี้อาจดีขึ้น เพราะราคาน้ำมันเริ่มลดลงบ้าง และเชื่อว่าราคาเหล็กในตลาดโลกจะทรงตัวช่วงปลายปี ซึ่งจะส่งผลดีต่อเรา เพราะต้นทุนเราจะลดลง ขณะที่ตัวเลขกรอสมาร์จิ้นของเราอยู่ที่ประมาณ 29-30% ไม่แตกต่างจากปีที่ผ่านมา " นายปกรณ์กล่าว
นายปกรณ์กล่าวว่าปลายปีนี้ L&E จะเปิดโชว์รูมเพิ่มอีก 1 แห่งเดือนตุลาคมนี้ หลังเปิดแล้ว 1 แห่ง โดยใช้งบประมาณ 10 ล้านบาท เฉพาะในกรุงเทพฯ เพื่อวางสินค้าที่หลากหลายและสะดวกต่อลูกค้าในการเลือกซื้อสินค้า ขณะที่ต่างจังหวัดจะใช้งบแห่งละ 1 ล้านบาทเท่านั้น เพื่อระบายสินค้าและเพิ่มยอดขาย ตลอดจนให้ลูกค้ารู้จักสินค้าของบริษัทได้มากขึ้น ซึ่งเป็นไปตามแผนการจำหน่ายสินค้า
สำหรับงานเมกะโปรเจ็กต์ ที่จะเกิดขึ้นนั้น คาดว่าอีก 3 ปีกว่าจะเกิดขึ้น และเมื่อถึงเวลานั้น บริษัทจะได้รับอานิสงส์จากโครงการดังกล่าวไม่มากก็น้อย
