ตลาดหุ้นไทยร่วงต่อ 13 จุด ตามตลาดตลาดหุ้นภูมิภาค กังวลดอกเบี้ยขึ้น หลังค่าเงินอ่อนค่า การเมืองไม่ชัด ปัญหาสถาบันการเงินอเมริกา ต่างชาติขายหุ้นต่อเนื่องหันนำเงินไปลงทุนสินค้าโภคภัณฑ์จากราคาปรับตัวลดลง ขณะที่หุ้น GSTEEL ซื้อขายคึก ราคาบวกทันที หลังผู้บริหารออกมายืนยันไม่มีการเจรจาซื้อหุ้นบริษัท จากกลุ่มนายลักษณมี มิตตาล มหาเศรษฐีชาวอินเดีย กับกลุ่มลีสวัสดิ์ตระกูลผู้ถือหุ้นใหญ่
ภาวะการลงทุนในตลาดหุ้นไทยวันนี้ (21 ส.ค.) ดัชนีปรับตัวลดลงต่อจากความกังวลการปรับขึ้นดอกเบี้ยจากค่าเงินอ่อนค่า ปัญหาสถาบันการเงินอเมริกา การเมืองยังไม่ชัดเจน ต่างชาติขายต่อเนื่อง กดดันดัชนีตลาดหุ้นไทยปิดที่ระดับต่ำสุดของวันที่ระดับ 676.53 จุด ลดลง 13.51 จุด หรือลดลง 1.96% ระหว่างวันปรับตัวสูงสุดที่ระดับ 691.51 จุด มูลค่าการซื้อขาย 10,782.39 ล้านบาท นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 989.12 ล้านบาท นักลงทุนสถาบันขายสุทธิ 180.35 ล้านบาท นักลงทุนรายย่อยซื้อสุทธิ 1,169.47 ล้านบาท
นางสาววิริยา ลาภพรหมรัตน ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิเคราะห์ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) เกียรตินาคิน จำกัด กล่าวว่า ดัชนีตลาดหุ้นไทยวานนี้ปรับตัวลดลงจาก 3 ปัจจัย คือ ปรับตัวลดลงตามทิศทางตลาดหุ้นภูมิภาคที่กังวลในเรื่องปัญหาสถาบันการเงินอเมริกา ในเรื่องวิกฤตปัญหาสินเชื่ออสังหาริมทรัพย์คุณภาพต่ำ (ซับไพรม์) ทำให้มีแรงขายหุ้นในกลุ่มธนาคารพาณิชย์ และกังวลปัจจัยทางการเมืองในประเทศ เพราะยังไม่ความชัดเจนในเรื่องการพิจารณาคดีการยุบพรรคการเมือง และในเรื่องคดีหวยของ 3 รัฐมนตรี ที่เลื่อนไปพิจารณาในช่วงเดือนกันยายน
ประเด็นสุดท้ายที่นักลงทุนกลับมากังวลมากขึ้นในเรื่องการทิศทางอัตราดอกเบี้ยของไทยที่คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ที่จะมีประชุมในวันที่ 27 สิงหาคมนี้ ที่จะปรับดอกเบี้ยขึ้น เพราะค่าเงินบาทที่มีการอ่อนค่าลง ทำให้เดิมที่มีการคาดว่า กนง.จะคงดอกเบี้ยในการประชุมครั้งนี้ หลังราคานำมันปรับตัวลดลงต่อเนื่องประมาณ 20-30% ในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา และจะมีการปรับขึ้นอีกในการประชุม 3 ครั้งที่เหลืออีก 0.25%
“จากการที่ราคานำมันดิบปรับตัวลดลง 20-30% ในช่วง1 เดือน จะทำให้กนง.จะมีการคงอัตราดอกเบี้ยไว้ แต่การที่ค่าเงินอ่อนค่าลงนั้น ทำให้มีความกังวลเรื่องอัตราดอกเบี้ยที่จะมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นเร็วกว่าที่คาด ซึ่งต้องรอผลการพิจารณาของ กนง.แต่บริษัทก็อยากให้คงดอกเบี้ยไว้ ซึ่งปัจจัยดังกล่าวทำให้นักลงทุนมีความกังวลมากขึ้น และปัจจัยต่างประเทศและการเมือง จึงทำมีแรงขายหุ้นไทยออกมาในวันนี้” นางสาววิริยา กล่าว
สำหรับแนวโน้มตลาดหุ้นไทยวันนี้ (22 ส.ค.) คาดว่า ดัชนีจะมีทิศทางปรับตัวลดลงหลังจากที่ดัชนีปรับตัวลดลงต่ำกว่า 690 จุด ซึ่งสัญญาณทางเทคนิคมีโอกาสที่ดัชนีจะปรับตัวลดลงมาที่จุดต่ำสุดเดิมที่ 660-670 จุด เพราะนักลงทุนยังกังวลในเรื่องปัญหาสินเชื่ออเมริกา ปัจจัยการเมือง และทิศทางดอกเบี้ย แต่อย่างไรก็ตาม ต้องติดตามทิศทางตลาดหุ้นต่างประเทศ ซึ่งหากตลาดหุ้นภูมิภาคปรับตัวเพิ่มขึ้นก็จะส่งผลให้ตลาดหุ้นไทยปรับตัวเพิ่มขึ้นเช่นกัน โดยบริษัทประเมินแนวรับที่ระดับ 670 จุด แนวต้านที่ระดับ 680 จุด
***ต่างชาติเทขายพลังงาน
นางสาวมยุรี โชติวิกรานต์ ผู้อำนวยการอาวุโส บล.กิมเอ็ง (ประเทศไทย) กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยปรับตัวลดลง เพราะนักลงทุนขายหุ้นกลุ่มธนาคารพาณิชย์ออกมา หลังประกาศตัวเลขการขยายตัวของสินเชื่อธนาคารพาณิชย์ในช่วงเดือนกรกฎาคมที่มีการขยายตัวลดลง ทำให้นักลงทุนมีความกังวลในเรื่องการเติบโตของสินเชื่อธนาคารพาณิชย์ในช่วงที่เหลือของปีนี้ และจากการที่หุ้นกลุ่มแบงก์ปรับตัวเพิ่มขึ้น 3 สัปดาห์ติดต่อกัน ทำให้นักลงทุนมีแรงเทขายหุ้นกลุ่มดังกล่าวออกมา
ประกอบกับมีแรงขายหุ้นกลุ่มพลังงานออกมา ทั้งที่ไม่มีปัจจัยลบที่จะทำให้หุ้นกลุ่มดังกล่าวปรับตัวลดลง ส่วนตัวเชื่อว่าเป็นแรงขายของนักลงทุนต่างชาติ ซึ่งขณะนี้ถือว่าบรรยากาศการลงทุนในตลาดหุ้นไทยไม่ค่อยดี และมีโอกาสที่หุ้นมีแนวโน้มที่จะปรับตัวลดลงต่ ซึ่งจะต้องติดตามการประชุมของกนง.ในสัปดาห์หน้าว่าจะเป็นทิศทางใด
ทั้งนี้ มีความเห็นแตกออกเป็น 2 ทาง คือ ขึ้นและไม่ขึ้น ดอกเบี้ย ซึ่งหากมีการปรับดอกเบี้ยขึ้นก็จะส่งผลดีทำให้แบงก์มีการปรับขึ้นดอกเบี้ยเงินกู้ได้ หลังจากที่แบงก์มีการระดมทุนเงินฝากในการเพิ่มดอกเบี้ยสูงขึ้น แต่ก็จะกระทบกับการลงทุนในตลาดหุ้นไทยทำให้ตลาดหุ้นมีการปรับตัวลดลง และคาดว่า เศรษฐกิจไทยในช่วงครึ่งปีหลังจะขยายตัวไม่มาก
สำหรับแนวโน้มตลาดหุ้นไทยวันนี้ คาดว่า จะแกว่งตัวในลักษณะปรับตัวลดลงซึ่งมีโอกาสที่ดัชนีจะมีการปรับตัวลดลงอยู่ที่จุดต่ำสุดของปีนี้ที่ 660 จุด จากที่ยังไม่มีปัจจัยบวกเข้ามากระตุ้น สำหรับนักลงทุนที่สามารถถือหุ้นระยะยาวประมาณ 3-6 เดือน บริษัทแนะนำให้ทยอยซื้อหุ้น กลุ่มแบงก์ เช่น แบงก์กรุงศรีอยุธยา และกสิกรไทย เพราะในระยะนั้นการเก็งกำไรทำได้ยากจากภาวะตลาดผันผวน โดยบริษัทประเมินแนวรับที่ระดับ 670 จุด แนวต้านที่ระดับ 680 จุด
***ฝรั่งโยกเงินลงทุนโภคภัณฑ์
นายภูวดล ลาภอุดมสุข ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บล.เอเชีย พลัส กล่าวว่า ดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับตัวลดลงตามทิศทางตลาดหุ้นต่างประเทศที่ปรับตัวลดลง ซึ่งนักลงทุนต่างประเทศยังคงขายต่ำเนื่อง และจากความกังวลในเรื่องปัจจัยทางการเมือง ที่ยังไม่ชัดเจน ซึ่งจะส่งผลถึงการชะลอตัวเศรษฐกิจในช่วงครึ่งปีหลัง ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อกำไรสุทธิของบริษัทจดทะเบียน
ทั้งนี้ การที่นักลงทุนต่างประเทศขายหุ้นออกมานั้น เชื่อว่า จะนำเงินไปลงทุนในสินค้าโภคภัณฑ์ ทองคำ น้ำมัน ฯลฯจากที่ผ่านมาราคาสินค้าดังกล่าวปรับตัวลดลง โดยเชื่อว่าทิศทางตลาดหุ้นไทยวันนี้จะยังคงปรับตัวลดลงต่อ โดยประเมินแนวรับที่ระดับ 670 จุด แนวต้านที่ระดับ 680 จุด
นางสาวปองรัตน์ รัตนะตวณานนท์ ผู้จัดการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์บัวหลวง จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ดัชนีตลาดหลักทรัพย์วานนี้รูดลงอย่างต่อเนื่อง และปิดตลาดดัชนีติดลบ เพราะนักลงทุนในประเทศยังชะลอการลงทุนและยังไม่มีปัจจัยที่ดีมาหนุนตลาด ซึ่งเป็นไปในทิศทางเดียวกับตลาดหุ้นทั่วโลก
นายชัย จิรเสวีนุประพันธ์ ผู้จัดการฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์ พัฒนสิน จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ตลาดหุ้นวานนี้เปิดตลาดกว่งตัวลบอย่างต่อเนื่อง ส่วนใหญ่กลุ่มพลังงานและกลุ่มธนาคาร ปรับตัวลดลงมาก ซึ่งเป็นไปในทิศทางเดียวกับตลาดเอเชียและยุโรปที่ปรับลดลงเช่นกัน แม้ว่าราคาน้ำมันราคาจะขยับขึ้นมาเล็กน้อย แต่ก็ไม่ส่งผลดีจนเกิดเป็นแรงหนุนให้กับตลาดได้ ซึ่งเชื่อว่าวันนี้ เชื่อว่าดัชนีตลาดคงจะปรับลดลงอีก โดยมีแนวรับอยู่ที่ 670-675 จุด และให้จับตาดูทิศตลาดหุ้นในต่างประเทศด้วยว่าจะเป็นไปในทิศทางใด
**GSTEEL ฝ่ากระแสซื้อขายคึก-หุ้นปิดบวก
ส่วนกรณีที่มีกระแสข่าวว่า กลุ่มบริษัท อาร์เซลอร์-มิตตาล ที่มี นายลักษมี มิตตาล มหาเศรษฐีชาวอินเดียเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ มีความสนใจเข้ามาซื้อหุ้นบริษัท จี สตีล จำกัด (มหาชน) หรือ GSTEEL ทำให้มีแรงซื้อเข้ามาในหุ้นดังกล่าวเป็นจำนวนมาก ส่งผลราคาหุ้น GSTEEL ปรับตัวเพิ่มขึ้นตั้งแต่เปิดการซื้อขาย ก่อนจะปิดการซื้อขายภาคเช้าที่ 1.26 บาท เพิ่มขึ้น 0.19 บาท คิดเป็น 17.76% มูลค่าสูงสุดเป็นอันดับหนึ่งถึง 758.53 ล้านบาท
ขณะที่ช่วงบ่ายราคาหุ้น GSTEEL ได้ปรับตัวลดลง หลังจากผู้บริหาร GSTEEL ได้ออกมาปฏิเสธข่าวดังกล่าว โดยมีราคาปรับขึ้นไปสูงสุดของวานนี้ที่ 1.30 บาท ต่ำสุด 1.13 บาท และปิดการซื้อขายที่ 1.18 บาท เพิ่มขึ้นจากวันก่อน 1.18 บาท หรือ 0.11% มูลค่าการซื้อขายรวม 1,091.36 ล้านบาท ท ขึ้นแท่นหุ้นที่มีมูลค่าและปริมาณหุ้นที่ซื้อขายสูงสุดของวานนี้ ขณะที่เป็นหุ้นราคาเพิ่มขึ้นสูงสุดอันดับ 5 ของตลาด
ทั้งนี้ กระแสข่าวระบุว่า นายลักษมี มิตตาล ต้องการซื้อหุ้น GSTEEL จากกลุ่มลีสวัสดิ์ตระกูล ในสัดส่วนประมาณ 10-20% ซึ่งสูงกว่าราคาตลาดและสูงกว่าราคามูลค่าตามบัญชี (Book Value) ปัจจุบันที่ประมาณหุ้นละ 2.69 บาท โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อขยายธุรกิจเข้าสู่ประเทศในแถบภูมิภาคเอเชีย หวังใช้ในการแข่งขันกับผู้ผลิตรายใหญ่อย่างญี่ปุ่น และเกาหลีใต้
อย่างไรก็ตาม ในช่วงบ่าย นายริวโซ โอกิโน กรรมการบริษัท จี สตีล จำกัด (มหาชน) หรือ GSTEEL ได้ออกมาปฏิเสธข่าวดังกล่าว ว่า ขณะนี้กลุ่มลีสวัสดิ์ตระกูล ผู้ถือหุ้นใหญ่ของ จี สตีล ยังไม่มีการเจรจาซื้อขายหุ้นกับกลุ่มของ นายลักษมี แต่อย่างใด และหากได้รับข้อมูลเพิ่มเติมหรือมีการเปลี่ยนแปลงในอนาคตแล้ว จะดำเนินการแจ้งให้ทราบต่อไป
ภาวะการลงทุนในตลาดหุ้นไทยวันนี้ (21 ส.ค.) ดัชนีปรับตัวลดลงต่อจากความกังวลการปรับขึ้นดอกเบี้ยจากค่าเงินอ่อนค่า ปัญหาสถาบันการเงินอเมริกา การเมืองยังไม่ชัดเจน ต่างชาติขายต่อเนื่อง กดดันดัชนีตลาดหุ้นไทยปิดที่ระดับต่ำสุดของวันที่ระดับ 676.53 จุด ลดลง 13.51 จุด หรือลดลง 1.96% ระหว่างวันปรับตัวสูงสุดที่ระดับ 691.51 จุด มูลค่าการซื้อขาย 10,782.39 ล้านบาท นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 989.12 ล้านบาท นักลงทุนสถาบันขายสุทธิ 180.35 ล้านบาท นักลงทุนรายย่อยซื้อสุทธิ 1,169.47 ล้านบาท
นางสาววิริยา ลาภพรหมรัตน ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิเคราะห์ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) เกียรตินาคิน จำกัด กล่าวว่า ดัชนีตลาดหุ้นไทยวานนี้ปรับตัวลดลงจาก 3 ปัจจัย คือ ปรับตัวลดลงตามทิศทางตลาดหุ้นภูมิภาคที่กังวลในเรื่องปัญหาสถาบันการเงินอเมริกา ในเรื่องวิกฤตปัญหาสินเชื่ออสังหาริมทรัพย์คุณภาพต่ำ (ซับไพรม์) ทำให้มีแรงขายหุ้นในกลุ่มธนาคารพาณิชย์ และกังวลปัจจัยทางการเมืองในประเทศ เพราะยังไม่ความชัดเจนในเรื่องการพิจารณาคดีการยุบพรรคการเมือง และในเรื่องคดีหวยของ 3 รัฐมนตรี ที่เลื่อนไปพิจารณาในช่วงเดือนกันยายน
ประเด็นสุดท้ายที่นักลงทุนกลับมากังวลมากขึ้นในเรื่องการทิศทางอัตราดอกเบี้ยของไทยที่คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ที่จะมีประชุมในวันที่ 27 สิงหาคมนี้ ที่จะปรับดอกเบี้ยขึ้น เพราะค่าเงินบาทที่มีการอ่อนค่าลง ทำให้เดิมที่มีการคาดว่า กนง.จะคงดอกเบี้ยในการประชุมครั้งนี้ หลังราคานำมันปรับตัวลดลงต่อเนื่องประมาณ 20-30% ในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา และจะมีการปรับขึ้นอีกในการประชุม 3 ครั้งที่เหลืออีก 0.25%
“จากการที่ราคานำมันดิบปรับตัวลดลง 20-30% ในช่วง1 เดือน จะทำให้กนง.จะมีการคงอัตราดอกเบี้ยไว้ แต่การที่ค่าเงินอ่อนค่าลงนั้น ทำให้มีความกังวลเรื่องอัตราดอกเบี้ยที่จะมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นเร็วกว่าที่คาด ซึ่งต้องรอผลการพิจารณาของ กนง.แต่บริษัทก็อยากให้คงดอกเบี้ยไว้ ซึ่งปัจจัยดังกล่าวทำให้นักลงทุนมีความกังวลมากขึ้น และปัจจัยต่างประเทศและการเมือง จึงทำมีแรงขายหุ้นไทยออกมาในวันนี้” นางสาววิริยา กล่าว
สำหรับแนวโน้มตลาดหุ้นไทยวันนี้ (22 ส.ค.) คาดว่า ดัชนีจะมีทิศทางปรับตัวลดลงหลังจากที่ดัชนีปรับตัวลดลงต่ำกว่า 690 จุด ซึ่งสัญญาณทางเทคนิคมีโอกาสที่ดัชนีจะปรับตัวลดลงมาที่จุดต่ำสุดเดิมที่ 660-670 จุด เพราะนักลงทุนยังกังวลในเรื่องปัญหาสินเชื่ออเมริกา ปัจจัยการเมือง และทิศทางดอกเบี้ย แต่อย่างไรก็ตาม ต้องติดตามทิศทางตลาดหุ้นต่างประเทศ ซึ่งหากตลาดหุ้นภูมิภาคปรับตัวเพิ่มขึ้นก็จะส่งผลให้ตลาดหุ้นไทยปรับตัวเพิ่มขึ้นเช่นกัน โดยบริษัทประเมินแนวรับที่ระดับ 670 จุด แนวต้านที่ระดับ 680 จุด
***ต่างชาติเทขายพลังงาน
นางสาวมยุรี โชติวิกรานต์ ผู้อำนวยการอาวุโส บล.กิมเอ็ง (ประเทศไทย) กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยปรับตัวลดลง เพราะนักลงทุนขายหุ้นกลุ่มธนาคารพาณิชย์ออกมา หลังประกาศตัวเลขการขยายตัวของสินเชื่อธนาคารพาณิชย์ในช่วงเดือนกรกฎาคมที่มีการขยายตัวลดลง ทำให้นักลงทุนมีความกังวลในเรื่องการเติบโตของสินเชื่อธนาคารพาณิชย์ในช่วงที่เหลือของปีนี้ และจากการที่หุ้นกลุ่มแบงก์ปรับตัวเพิ่มขึ้น 3 สัปดาห์ติดต่อกัน ทำให้นักลงทุนมีแรงเทขายหุ้นกลุ่มดังกล่าวออกมา
ประกอบกับมีแรงขายหุ้นกลุ่มพลังงานออกมา ทั้งที่ไม่มีปัจจัยลบที่จะทำให้หุ้นกลุ่มดังกล่าวปรับตัวลดลง ส่วนตัวเชื่อว่าเป็นแรงขายของนักลงทุนต่างชาติ ซึ่งขณะนี้ถือว่าบรรยากาศการลงทุนในตลาดหุ้นไทยไม่ค่อยดี และมีโอกาสที่หุ้นมีแนวโน้มที่จะปรับตัวลดลงต่ ซึ่งจะต้องติดตามการประชุมของกนง.ในสัปดาห์หน้าว่าจะเป็นทิศทางใด
ทั้งนี้ มีความเห็นแตกออกเป็น 2 ทาง คือ ขึ้นและไม่ขึ้น ดอกเบี้ย ซึ่งหากมีการปรับดอกเบี้ยขึ้นก็จะส่งผลดีทำให้แบงก์มีการปรับขึ้นดอกเบี้ยเงินกู้ได้ หลังจากที่แบงก์มีการระดมทุนเงินฝากในการเพิ่มดอกเบี้ยสูงขึ้น แต่ก็จะกระทบกับการลงทุนในตลาดหุ้นไทยทำให้ตลาดหุ้นมีการปรับตัวลดลง และคาดว่า เศรษฐกิจไทยในช่วงครึ่งปีหลังจะขยายตัวไม่มาก
สำหรับแนวโน้มตลาดหุ้นไทยวันนี้ คาดว่า จะแกว่งตัวในลักษณะปรับตัวลดลงซึ่งมีโอกาสที่ดัชนีจะมีการปรับตัวลดลงอยู่ที่จุดต่ำสุดของปีนี้ที่ 660 จุด จากที่ยังไม่มีปัจจัยบวกเข้ามากระตุ้น สำหรับนักลงทุนที่สามารถถือหุ้นระยะยาวประมาณ 3-6 เดือน บริษัทแนะนำให้ทยอยซื้อหุ้น กลุ่มแบงก์ เช่น แบงก์กรุงศรีอยุธยา และกสิกรไทย เพราะในระยะนั้นการเก็งกำไรทำได้ยากจากภาวะตลาดผันผวน โดยบริษัทประเมินแนวรับที่ระดับ 670 จุด แนวต้านที่ระดับ 680 จุด
***ฝรั่งโยกเงินลงทุนโภคภัณฑ์
นายภูวดล ลาภอุดมสุข ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บล.เอเชีย พลัส กล่าวว่า ดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับตัวลดลงตามทิศทางตลาดหุ้นต่างประเทศที่ปรับตัวลดลง ซึ่งนักลงทุนต่างประเทศยังคงขายต่ำเนื่อง และจากความกังวลในเรื่องปัจจัยทางการเมือง ที่ยังไม่ชัดเจน ซึ่งจะส่งผลถึงการชะลอตัวเศรษฐกิจในช่วงครึ่งปีหลัง ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อกำไรสุทธิของบริษัทจดทะเบียน
ทั้งนี้ การที่นักลงทุนต่างประเทศขายหุ้นออกมานั้น เชื่อว่า จะนำเงินไปลงทุนในสินค้าโภคภัณฑ์ ทองคำ น้ำมัน ฯลฯจากที่ผ่านมาราคาสินค้าดังกล่าวปรับตัวลดลง โดยเชื่อว่าทิศทางตลาดหุ้นไทยวันนี้จะยังคงปรับตัวลดลงต่อ โดยประเมินแนวรับที่ระดับ 670 จุด แนวต้านที่ระดับ 680 จุด
นางสาวปองรัตน์ รัตนะตวณานนท์ ผู้จัดการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์บัวหลวง จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ดัชนีตลาดหลักทรัพย์วานนี้รูดลงอย่างต่อเนื่อง และปิดตลาดดัชนีติดลบ เพราะนักลงทุนในประเทศยังชะลอการลงทุนและยังไม่มีปัจจัยที่ดีมาหนุนตลาด ซึ่งเป็นไปในทิศทางเดียวกับตลาดหุ้นทั่วโลก
นายชัย จิรเสวีนุประพันธ์ ผู้จัดการฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์ พัฒนสิน จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ตลาดหุ้นวานนี้เปิดตลาดกว่งตัวลบอย่างต่อเนื่อง ส่วนใหญ่กลุ่มพลังงานและกลุ่มธนาคาร ปรับตัวลดลงมาก ซึ่งเป็นไปในทิศทางเดียวกับตลาดเอเชียและยุโรปที่ปรับลดลงเช่นกัน แม้ว่าราคาน้ำมันราคาจะขยับขึ้นมาเล็กน้อย แต่ก็ไม่ส่งผลดีจนเกิดเป็นแรงหนุนให้กับตลาดได้ ซึ่งเชื่อว่าวันนี้ เชื่อว่าดัชนีตลาดคงจะปรับลดลงอีก โดยมีแนวรับอยู่ที่ 670-675 จุด และให้จับตาดูทิศตลาดหุ้นในต่างประเทศด้วยว่าจะเป็นไปในทิศทางใด
**GSTEEL ฝ่ากระแสซื้อขายคึก-หุ้นปิดบวก
ส่วนกรณีที่มีกระแสข่าวว่า กลุ่มบริษัท อาร์เซลอร์-มิตตาล ที่มี นายลักษมี มิตตาล มหาเศรษฐีชาวอินเดียเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ มีความสนใจเข้ามาซื้อหุ้นบริษัท จี สตีล จำกัด (มหาชน) หรือ GSTEEL ทำให้มีแรงซื้อเข้ามาในหุ้นดังกล่าวเป็นจำนวนมาก ส่งผลราคาหุ้น GSTEEL ปรับตัวเพิ่มขึ้นตั้งแต่เปิดการซื้อขาย ก่อนจะปิดการซื้อขายภาคเช้าที่ 1.26 บาท เพิ่มขึ้น 0.19 บาท คิดเป็น 17.76% มูลค่าสูงสุดเป็นอันดับหนึ่งถึง 758.53 ล้านบาท
ขณะที่ช่วงบ่ายราคาหุ้น GSTEEL ได้ปรับตัวลดลง หลังจากผู้บริหาร GSTEEL ได้ออกมาปฏิเสธข่าวดังกล่าว โดยมีราคาปรับขึ้นไปสูงสุดของวานนี้ที่ 1.30 บาท ต่ำสุด 1.13 บาท และปิดการซื้อขายที่ 1.18 บาท เพิ่มขึ้นจากวันก่อน 1.18 บาท หรือ 0.11% มูลค่าการซื้อขายรวม 1,091.36 ล้านบาท ท ขึ้นแท่นหุ้นที่มีมูลค่าและปริมาณหุ้นที่ซื้อขายสูงสุดของวานนี้ ขณะที่เป็นหุ้นราคาเพิ่มขึ้นสูงสุดอันดับ 5 ของตลาด
ทั้งนี้ กระแสข่าวระบุว่า นายลักษมี มิตตาล ต้องการซื้อหุ้น GSTEEL จากกลุ่มลีสวัสดิ์ตระกูล ในสัดส่วนประมาณ 10-20% ซึ่งสูงกว่าราคาตลาดและสูงกว่าราคามูลค่าตามบัญชี (Book Value) ปัจจุบันที่ประมาณหุ้นละ 2.69 บาท โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อขยายธุรกิจเข้าสู่ประเทศในแถบภูมิภาคเอเชีย หวังใช้ในการแข่งขันกับผู้ผลิตรายใหญ่อย่างญี่ปุ่น และเกาหลีใต้
อย่างไรก็ตาม ในช่วงบ่าย นายริวโซ โอกิโน กรรมการบริษัท จี สตีล จำกัด (มหาชน) หรือ GSTEEL ได้ออกมาปฏิเสธข่าวดังกล่าว ว่า ขณะนี้กลุ่มลีสวัสดิ์ตระกูล ผู้ถือหุ้นใหญ่ของ จี สตีล ยังไม่มีการเจรจาซื้อขายหุ้นกับกลุ่มของ นายลักษมี แต่อย่างใด และหากได้รับข้อมูลเพิ่มเติมหรือมีการเปลี่ยนแปลงในอนาคตแล้ว จะดำเนินการแจ้งให้ทราบต่อไป