xs
xsm
sm
md
lg

โบรกฯครึ่งปีหลังยังวิกฤต ปัจจัยลบรอกระหน่ำเพียบ

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

กลุ่มบริษัทหลักทรัพย์อนาคตครึ่งปีหลังยังไม่สดใส แม้ 6 เดือนแรก 8 บริษัทจะสามารถทำกำไรสุทธิรวมเกือบ 1,020 ล้านบาท เพิ่มขึ้นกว่า 102% "บล.กิมเอ็งฯ" นำโด่งกำไรสุทธิ 340 ล้าบาท เพิ่มขึ้น 103% โบรกเกอร์ ชี้ครึ่งปีหลังปัจจัยลบรอกระหน่ำเพียงทั้งเงินเฟ้อ-ดอกเบี้ยสูง กดดันมูลค่าการซื้อขายหดตัว พร้อมแนะเลือกลงทุน "PHATRA-KEST" พื้นฐานดี-มาร์เกตแชร์สูง

ผู้จัดการรายวัน ได้สำรวจผลประกอบการของกลุ่มบริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ที่ทยอยประกาศผลการดำเนินงานต่อตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ประจำงวด 6 เดือน สิ้นสุด ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2551 รวม 8 บริษัท จากทั้งหมดจำนวน 13 บริษัท ปรากฏว่า บริษัทหลักทรัพย์มีผลกำไรสุทธิเพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปีก่อน โดยมีกำไรสุทธิรวม 8 บริษัท 1,019.54 ล้านบาท เทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนกำไรสุทธิ 503.02 ล้านบาท เพิ่มขึ้นกว่า 516.52 ล้านบาท คิดเป็นอัตราส่วน 102.68% (ตารางประกอบข่าว)

สำหรับบล.ที่แจ้งผลประกอบการแล้วประกอบด้วย บล.แอ๊ดคินซัน จำกัด (มหาชน) หรือ ASL บล.บัวหลวง จำกัด (มหาชน) หรือ BLS บล.บีฟิท จำกัด (มหาชน) หรือ BSEC บล.พัฒนสิน จำกัด (มหาชน) หรือ CNS บล.กิมเอ็ง (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ KEST บล.ภัทร จำกัด (มหาชน) หรือ PHATRA บล. ซิกโก้ จำกัด (มหาชน) หรือ SSEC และบล.ซีมิโก้ จำกัด (มหาชน) หรือ ZMICO

หากพิจารณากำไรสุทธิของบริษัทหลักทรัพย์จะพบว่า บริษัทที่มีกำไรสุทธิสูงสุด 3 อันดับแรก คือ บล.กิมเอ็งฯ กำไรสุทธิ 340.48 ล้านบาท กำไรสุทธิต่อ 0.61 บาท เทียบกับปีก่อนกำไรสุทธิ 167.00 ล้านบาท กำไรสุทธิต่อหุ้น 0.30 บาท กำไรสุทธิเพิ่มขึ้น 173.48 ล้านบาท หรือ 103.88% ตามด้วยบล.ภัทร และบล.พัฒนสิน (งวด 9 เดือน) กำไรสุทธิ 296.88 ล้านบาท และ114.39 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 32.99% และ 66.53% ตามลำดับ

ส่วนบริษัทที่มีกำไรสุทธิน้อยที่สุดได้แก่ บล.แอ๊ดคินซัน กำไรสุทธิ 0.59 ล้านบาท กำไรสุทธิต่อหุ้น 0.0001 บาท เทียบกับปีก่อนขาดทุนสุทธิ 60.87 ล้านบาท ขาดทุนสุทธิต่อหุ้น 0.0145 บาท หรือกำไรสุทธิเพิ่มขึ้น 61.46 ล้านบาท คิดเป็น 100.97% ตามด้วยบล.ซิกโก้ และบล.ซีมิโก้ กำไรสุทธิ 27.78 ล้านบาท และ 59.98 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 229.15% และ 654.34% ตามลำดับ

บริษัทหลักทรัพย์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ขอชี้แจงผลการดำเนินงานสำหรับ งวดหกเดือนสิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายน 2551 โดยบริษัทมีกำไรสุทธิ 339.99 ล้านบาทเพิ่มขึ้น 172.74 ล้านบาท
หรือเพิ่มขึ้น ร้อยละ 103.28 เมื่อเปรียบเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนซึ่งมีกำไรสุทธิ 167.26 ล้านบาท และ เนื่องจากผลการดำเนินงานตามงบกำไรขาดทุนดังกล่าวแสดงผลกำไรสุทธิเพิ่มขึ้นเกินกว่าร้อยละ 20 บริษัทฯ จึงใคร่ชี้แจงสาเหตุการเปลี่ยนแปลงในส่วนที่มีสาระสำคัญดังนี้

นายภูษิต แก้วมงคลศรี กรรมการและประธานเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการ บริษัทหลักทรัพย์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) กล่าวถึง สาเหตุที่ทำให้กำไรสุทธิงวด 6 เดือนปี 51 เพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปีก่อน 103% ว่า บริษัทมีรายได้จากค่านายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์เพิ่มขึ้น 356.10 ล้านบาท เป็น 926.17 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 62.47% จากปริมาณการซื้อขายหลักทรัพย์ที่เพิ่มขึ้นจากปีก่อน โดยปริมาณการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันของบริษัทเพิ่มขึ้นจาก 2,010 ล้านบาท เป็น 3,267 ล้านบาท

ขณะเดียวกัน รายได้จากค่านายหน้าซื้อขายสัญญาซื้อขายล่วงหน้าเพิ่มขึ้น 35.48 ล้านบาทเป็น 58.88 ล้านบาท หรือ 151.64% จากปริมาณการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันเพิ่มขึ้นจาก 561 สัญญา เป็น 1,480 สัญญา ซึ่งสอดคล้องกับการเพิ่มขึ้นของปริมาณการซื้อขายโดยรวมของตลาดอนุพันธ์

นอกจากนี้ บริษัทยังมีรายได้ดอกเบี้ยเงินให้กู้ยืมเพื่อซื้อหลักทรัพย์เพิ่มขึ้น 18.02 ล้านบาท เป็น 42.37 ล้าน บาท หรือเพิ่มขึ้น 74.02% เนื่องมาจากความต้องการเงินให้กู้ยืมเพื่อซื้อหลักทรัพย์ที่สูงขึ้น
ด้านค่าใช้จ่ายรวมของบริษัทเพิ่มขึ้น 161.62 ล้านบาท เป็น 666.31 ล้านบาท หรือ 32.02% ซึ่งค่าใช้จ่ายหลักที่เพิ่มขึ้นได้แก่ค่าธรรมเนียมจ่ายเพิ่มขึ้น 15.01 ล้านบาท และค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับพนักงานเพิ่มขึ้น 130.49 ล้านบาท ส่วนใหญ่มีผลมาจากการเพิ่มขึ้นของค่าธรรมเนียมการซื้อขายหลักทรัพย์และผลตอบแทนเจ้าหน้าที่การตลาดจากการที่ปริมาณการซื้อขายที่เพิ่มขึ้น รวมทั้งภาษีเงินได้นิติบุคคลเพิ่มขึ้นจาก 57.21 ล้านบาท เป็น 109.76 ล้านบาท

นายสดาวุธ เตชะอุบล ประธานกรรมการบริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บล. แอ๊ดคินซัน จำกัด (มหาชน) หรือ ASL กล่าวว่า ในช่วงครึ่งปีแรกบริษัทมีรายได้รวม 387.14 ล้านบาท เทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้รวม 283.40 ล้าบาท เพิ่มขึ้น 103.74 ล้านบาท หรือคิดเป็น 36.61% โดยแบ่งเป็นรายได้ค่านายหน้า 249.82 ล้านบาท รายได้ค่าธรรมเนียมและบริการ 0.25 ล้านบาท ขาดทุนจากการซื้อขายหลักทรัพย์ 111.40 ล้านบาท รายได้จากดอกเบี้ยรับและเงินปันผล 77.70 ล้านบาท และรายได้อื่นๆ 170.77 ล้านบาท

สำหรับผลขาดทุนจากการซื้อขายหลักทรัพย์ที่สูงถึง 111.40 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 111.32 ล้านบาท จากปีก่อนขาดทุนจากการซื้อขายหลักทรัพย์ 0.08 ล้านบาท แบ่งเป็น โดยเป็นการขาดทุนจากการซื้อขายหลักทรัพย์เพิ่มขึ้น 77.63 ล้านบาท และขาดทุนจากการตีราคาหลักทรัพย์เพิ่มขึ้น 33.69 ล้านบาท เนื่องจากบริษัทได้ขายหุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานดีในกลุ่มพลังงาน กลุ่มธนาคารและกลุ่มสถาบันการเงิน เพื่อหยุดผลขาดทุนที่อาจเพิ่มขึ้น หลังพบว่าราคาหุ้นมีแนวโน้มลดลงอย่างต่อเนื่อง

ด้านค่าใช้จ่ายนั้น งวด 6 เดือนแรกบริษัทมีค่าใช้จ่ายรวม 386.56 ล้านบาท เทียบกับปีก่อนค่าใช้จ่ายรวมอยู่ที่ 344.27 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 42.29 ล้านบาท คิดเป็น 12.28% ประกอบด้วยค่าใช้จ่ายในการกู้ยืม 1.53 ล้านบาท ค่าธรรมเนียมและบริการจ่าย 11.68 ล้านบาท หนี้สูญและหนี้สงสัยจะสูญ 59.34 ล้านบาท ล้านบาท ค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับพนักงาน 162.29 ล้านบาท ค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับการควบรวมสาขา ลดลง 8.17 ล้านบาท และค่าใช้จ่ายอื่นๆ 37.22 ล้านบาท

อย่างไรก็ตาม ในไตรมาส 2/51 นั้น บริษัทมีผลการดำเนินงานขาดทุนสุทธิ 135.81 ล้านบาท ซึ่งเกิดจากผลขาดทุนจากการซื้อขายหลักทรัพย์ 68.08 ล้านบาท และขาดทุนจากการตีราคาหลักทรัพย์ 22.05 ล้านบาท ขาดทุนจากการตั้งสำรองหนี้สูญและหนี้สงสัยจะสูญ 52.00 ล้านบาท ขาดทุนจากการยกเลิกพื้นที่เช่าบางส่วนของที่ตั้งสำนักงานใหญ่ 6.35 ล้านบาท แม้ว่าจะมีผลกำไรสุทธิจากการดำเนินงานจำนวน 12.67 ล้านบาท

***ครึ่งปีหลังปัจจัยลบรุมทึ้งเพียบ
นางสาวปองรัตน์ รัตนะตวณานนท์ ผู้จัดการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล. บัวหลวง จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า แม้ผลการดำเนินงานงวด 6 เดือนของกลุ่มบริษัทหลักทรัพย์จะออกมาดี แต่คงจะคาดการณ์แนวโน้มในช่วงครึ่งปีหลังได้ยาก เพราะมีหลายปัจจัยที่จะส่งผลกระทบต่อหุ้นกลุ่มบริษัทหลักทรัพย์ ประกอบกับที่ในระยะนี้ภาวะตลาดหุ้นไทยยังผันผวน และต้องประเมินกันวันต่อวัน

นางสาวจิตรา อมรธรรม ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล. ไซรัส จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ผลการดำเนินงานของกลุ่มบริษัทหลักทรัพย์ไตรมาส 2 ส่วนใหญ่ยังอยู่ในเกณฑ์ที่ดี ทำให้ได้ความสนใจจากนักลงทุนต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม ในครึ่งปีแรกที่ผ่านมาผลการดำเนินงานดังกล่าวยังไม่ได้รับกระทบจากภาวะเงินเฟ้อ อัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้น รวมถึงปัจจัยอื่นๆ ดังนั้นคงจะไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ในช่วงครึ่งหลังของปีนี้

***เลือกลงทุนหุ้นเด่น PHATRA-KEST
ด้านนักวิเคราะห์ บล. เกียรตินาคิน จำกัด กล่าวว่า จากการที่ดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับตัวลดลงต่อเนื่องในช่วงที่ผ่านมานั้น บริษัทจึงได้มีการปรับลดประมาณการมูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยปีนี้ลดลงเหลือ 17,000 ล้านบาทต่อวัน จากเดิมที่ 19,000 ล้านบาทต่อวัน โดยจะส่งผลให้รายได้ของบริษัทหลักทรัพย์ในปีนี้ลดลงต่ำกว่ารายได้ปี 2550 เล็กน้อย จากปีที่ผ่านมามูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยอยู่ที่ 17,400 ล้านบาทต่อวัน

ทั้งนี้จากการที่หุ้นกลุ่มดังกล่าวปรับตัวลดลงนั้น บริษัทได้มีการแนะนำการลงทุนในหุ้นกลุ่มหลักทรัพย์เป็นรายบริษัทที่มีส่วนแบ่งการตลาด (มาร์เกตแชร์) ที่สูง เช่น บล. ภัทร จำกัด (มหาชน) หรือ PHATRA บริษัทแนะนำซื้อ เพราะบริษัทดังกล่าวมีลูกค้านักลงทุนต่างประเทศที่สูง และที่ผ่านมานักลงทุนต่างประเทศมีสัดส่วนการซื้อขายในตลาดหุ้นที่เพิ่มขึ้น แต่บริษัทได้ปรับลดราคาเหมาะสมลงจากเดิมอยู่ที่หุ้นละ 40.65 บาท เหลือ 30.81 บาท

ขณะเดียวกันยังแนะนำซื้อ บล.กิมเอ็งฯ ที่มีส่วนแบ่งการตลาดสูงสุดเป็นอันดับหนึ่ง แต่จากการที่มีสัดส่วนรายย่อยที่สูงนั้นจะทำให้การซื้อขายจะผันผวนตามวอลุ่มการซื้อขายประจำวัน ซึ่งบริษัทประเมินราคาหุ้นเหมาะสมไว้ที่หุ้นละ 20.26 บาท ต่อหุ้น จากเดิมอยู่ที่ 29.72 บาท
ด้านบล.บัวหลวง นั้น บริษัทนะนำถือ โดยปรับลดราคาเหมาะสมเหลือ 15.75 บาท จากเดิมที่ 27.72 บาทต่อหุ้น หลังจากมูลค่าการซื้อขายลดลง รวมทั้งบล.บัวหลวง มีการตั้งสำรองเพิ่มขึ้นสุทธิจำนวน 60.01 ล้านบาท มาจากการตั้งค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญจากลูกหนี้ธุรกิจหลักทรัพย์ของบริษัท
กำลังโหลดความคิดเห็น