48 บจ.ใน mai ประกาศกำไรสุทธิไตรมาส 2 รวมกัน 728 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 58% ขณะที่รายได้รวม 11,809 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 9 % โดยมีถึง 11 บริษัทที่กำไรสุทธิขยายตัวเกิน 100 % KASETทะยานมากสุดพลิกขาดทุนเป็นกำไร 1,246 % ตามด้วย CPR และ CHU พุ่งเกิน 400% ส่วน LVT , STEEL และ PYLON ขยับเหนือ 300% ที่เหลือลดหลั่นตามลำดับ ส่วนกำไรงวดครึ่งปีแรกกำไรสุทธิรวมเพิ่มเกิน 70 %
นายชนิตร ชาญชัยณรงค์ ผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) เปิดเผยถึงผลการดำเนินงานบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) ประจำไตรมาส 2 ปีนี้ สิ้นสุด ณ วันที่ 30 มิถุนายน 51 ว่าบริษัทจดทะเบียน 48 แห่ง มีรายได้รวมกัน 11,809 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปีก่อนที่มียอดขาย
10,853 ล้านบาทคิดเป็น 9 %
สำหรับกำไรสุทธิไตรมาส 2 ปี 51 ของบริษัทจดทะเบียนรวมแล้วทั้งสิ้น 728 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 58 %เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน กำไรสุทธิรวมอยู่ที่ 460 ล้านบาท โดยมีบริษัทจดทะเบียน 11 แห่งที่มีอัตราเติบโตของกำไรสุทธิ เกิน 100 % คือ บมจ. ไทยฮา (KASET) ที่พลิกจากขาดทุน 5 ล้านบาท เป็นกำไร 62 ล้านบาท คิดเป็นอัตราเติบโตของกำไรสุทธิ 1,246 % บมจ. ซีพีอาร์ โกมุ อินดัสเตรียล (CPR) 474 % บมจ. ชูโอ เซ็นโก(ประเทศไทย) (CHUO) 455 % บมจ.แอล.วี เทคโนโลยี (LVT) 354 % บมจ. สตีล อินเตอร์เทค (STEEL) 343 % บมจ.ไพลอน (PYLON) 324 %บมจ. ปิโก (ไทยแลนด์) (PICO) 159 % บมจ.โกลด์ไฟน์แมนูแฟคเจอเรอส์ (GFM) 117 % บมจ. ทาพาโก้ (TAPAC) 114 % บมจ. ยัวซ่าแบตเตอรี่ ประเทศไทย (YUASA) 107 % และ บมจ. เด็มโก้
(DEMCO) 101 % ตามลำดับ
ด้านผลการดำเนินงานประจำงวด 6 เดือนแรกปี 51 เปรียบเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน บริษัทใน mai มีรายได้รวม 22,503 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจาก 20,297 ล้านบาท คิดเป็น 11 %โดยมีกำไรสุทธิรวม 1,495 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจาก 879 ล้านบาท คิดเป็น 70 % ส่วนบริษัทจดทะเบียนที่มีกำไรสุทธิ สูงสุด 3 อันดับแรก คือ บมจ.ยูนิค
ไมนิ่งเซอร์วิสเซส (UMS) กำไรสุทธิ 240 ล้านบาท บมจ. โกลด์ไฟน์ แมนูแฟคเจอเรอส์ (GFM) กำไรสุทธิ 164 ล้านบาทและ บมจ.เด็มโก้ (DEMCO) กำไรสุทธิ 159 ล้านบาท
นายชนิตร กล่าวว่า "ท่ามกลางสภาวะเศรษฐกิจและการเมืองที่ไม่แน่นอน บริษัทจดทะเบียนใน mai ส่วนใหญ่มีกำไรเพิ่ม 70% สะท้อนถึงศักยภาพของบริษัทขนาดกลางและเล็กในการปรับตัว โดยจะเห็นได้ว่าบริษัทหลายบริษัทประสบปัญหาขาดทุนในปีที่แล้ว แต่สามารถปรับตัวพลิกเป็นกำไรสุทธิได้ในปีนี้ ซึ่งบริษัทที่ยังคงประสบปัญหาส่วนใหญ่อยู่ในภาคธุรกิจ สื่อและบริการ ตลอดจนธุรกิจเทคโนโลยีและการสื่อสารที่ยังคงพึ่งพิงรายได้จากภาครัฐเป็นหลัก"
ปัจจุบัน มีบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) 49 บริษัท มีมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดที่33,606.64 ล้านบาท ดัชนี mai ปิดที่ระดับ 244.01 (เมื่อวันที่ 19 ส.ค. 51)
สำหรับผู้สนใจข้อมูลผลการดำเนินงานและรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับบริษัทจดทะเบียน สามารถรับฟังการวิเคราะห์ไขข้อ ข้องใจทิศทางหุ้นไตรมาสสุดท้าย : มีหวังหรือหมดหวัง ในงานสัมมนา " mai Stock Focus on Stage Series 3 "ร่วมด้วย สุกิจ อุดมศิริกุล ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บล.นครหลวงไทย และพิชัย เลิศสุพงษ์กิจ ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายการตลาด บล.ธนชาติ จำกัด พร้อมฟังข้อมูลเจาะลึก 2 หุ้นเด่นใน mai กับทิศทางการเติบโตตามธุรกิจพลังงานจากผู้บริหาร ไทย เอ็น ดี ที และทีอาร์ซี คอนสตรัคชั่น เพื่อเป็นข้อมูลประกอบการตัดสินใจลงทุน ในวันที่ 26 ส.ค. เวลา 13.00-16.30 น. ณ หอประชุมศาสตราจารย์สังเวียน อินทรวิชัย อาคารตลาดหลักทรัพย์ฯ สามารถสำรองที่นั่ง ฟรีที่ S-E-T Call Center 0-2229-2222 ดูรายละเอียดเพิ่มเติมที่ www.mai.or.th
นายชนิตร ชาญชัยณรงค์ ผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) เปิดเผยถึงผลการดำเนินงานบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) ประจำไตรมาส 2 ปีนี้ สิ้นสุด ณ วันที่ 30 มิถุนายน 51 ว่าบริษัทจดทะเบียน 48 แห่ง มีรายได้รวมกัน 11,809 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปีก่อนที่มียอดขาย
10,853 ล้านบาทคิดเป็น 9 %
สำหรับกำไรสุทธิไตรมาส 2 ปี 51 ของบริษัทจดทะเบียนรวมแล้วทั้งสิ้น 728 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 58 %เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน กำไรสุทธิรวมอยู่ที่ 460 ล้านบาท โดยมีบริษัทจดทะเบียน 11 แห่งที่มีอัตราเติบโตของกำไรสุทธิ เกิน 100 % คือ บมจ. ไทยฮา (KASET) ที่พลิกจากขาดทุน 5 ล้านบาท เป็นกำไร 62 ล้านบาท คิดเป็นอัตราเติบโตของกำไรสุทธิ 1,246 % บมจ. ซีพีอาร์ โกมุ อินดัสเตรียล (CPR) 474 % บมจ. ชูโอ เซ็นโก(ประเทศไทย) (CHUO) 455 % บมจ.แอล.วี เทคโนโลยี (LVT) 354 % บมจ. สตีล อินเตอร์เทค (STEEL) 343 % บมจ.ไพลอน (PYLON) 324 %บมจ. ปิโก (ไทยแลนด์) (PICO) 159 % บมจ.โกลด์ไฟน์แมนูแฟคเจอเรอส์ (GFM) 117 % บมจ. ทาพาโก้ (TAPAC) 114 % บมจ. ยัวซ่าแบตเตอรี่ ประเทศไทย (YUASA) 107 % และ บมจ. เด็มโก้
(DEMCO) 101 % ตามลำดับ
ด้านผลการดำเนินงานประจำงวด 6 เดือนแรกปี 51 เปรียบเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน บริษัทใน mai มีรายได้รวม 22,503 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจาก 20,297 ล้านบาท คิดเป็น 11 %โดยมีกำไรสุทธิรวม 1,495 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจาก 879 ล้านบาท คิดเป็น 70 % ส่วนบริษัทจดทะเบียนที่มีกำไรสุทธิ สูงสุด 3 อันดับแรก คือ บมจ.ยูนิค
ไมนิ่งเซอร์วิสเซส (UMS) กำไรสุทธิ 240 ล้านบาท บมจ. โกลด์ไฟน์ แมนูแฟคเจอเรอส์ (GFM) กำไรสุทธิ 164 ล้านบาทและ บมจ.เด็มโก้ (DEMCO) กำไรสุทธิ 159 ล้านบาท
นายชนิตร กล่าวว่า "ท่ามกลางสภาวะเศรษฐกิจและการเมืองที่ไม่แน่นอน บริษัทจดทะเบียนใน mai ส่วนใหญ่มีกำไรเพิ่ม 70% สะท้อนถึงศักยภาพของบริษัทขนาดกลางและเล็กในการปรับตัว โดยจะเห็นได้ว่าบริษัทหลายบริษัทประสบปัญหาขาดทุนในปีที่แล้ว แต่สามารถปรับตัวพลิกเป็นกำไรสุทธิได้ในปีนี้ ซึ่งบริษัทที่ยังคงประสบปัญหาส่วนใหญ่อยู่ในภาคธุรกิจ สื่อและบริการ ตลอดจนธุรกิจเทคโนโลยีและการสื่อสารที่ยังคงพึ่งพิงรายได้จากภาครัฐเป็นหลัก"
ปัจจุบัน มีบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) 49 บริษัท มีมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดที่33,606.64 ล้านบาท ดัชนี mai ปิดที่ระดับ 244.01 (เมื่อวันที่ 19 ส.ค. 51)
สำหรับผู้สนใจข้อมูลผลการดำเนินงานและรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับบริษัทจดทะเบียน สามารถรับฟังการวิเคราะห์ไขข้อ ข้องใจทิศทางหุ้นไตรมาสสุดท้าย : มีหวังหรือหมดหวัง ในงานสัมมนา " mai Stock Focus on Stage Series 3 "ร่วมด้วย สุกิจ อุดมศิริกุล ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บล.นครหลวงไทย และพิชัย เลิศสุพงษ์กิจ ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายการตลาด บล.ธนชาติ จำกัด พร้อมฟังข้อมูลเจาะลึก 2 หุ้นเด่นใน mai กับทิศทางการเติบโตตามธุรกิจพลังงานจากผู้บริหาร ไทย เอ็น ดี ที และทีอาร์ซี คอนสตรัคชั่น เพื่อเป็นข้อมูลประกอบการตัดสินใจลงทุน ในวันที่ 26 ส.ค. เวลา 13.00-16.30 น. ณ หอประชุมศาสตราจารย์สังเวียน อินทรวิชัย อาคารตลาดหลักทรัพย์ฯ สามารถสำรองที่นั่ง ฟรีที่ S-E-T Call Center 0-2229-2222 ดูรายละเอียดเพิ่มเติมที่ www.mai.or.th