ทุ่งคาฮาเบอร์ เตรียมหวนลุยธุรกิจเหมืองแร่ดีบุกสิ้นปีนี้ เหตุแนวโน้มราคาดีบุกปรับตัวสูงขึ้น เบื้องต้นนำสินแร่จากต่างประเทศเข้ามาก่อน รอขอประทานบัตรทำเหมืองแร่ที่พังงา หลังพบสินแร่ 4.14 ตัน หากขุดขึ้นมาผลิตเพิ่มจีดีพีไทยอีก 2.4 หมื่นล้านบาท คาดปีนี้ฟื้นกำไร จากครึ่งแรกกำไร 37 ล้านบาท ฝันล้างขาดทุนสะสมหมดภายในปี 51
นายกิตติศักดิ์ รัฐประเสริฐ กรรมการบริหาร บริษัท ทุ่งคาฮาเบอร์ จำกัด (มหาชน) (THL) เปิดเผยว่า บริษัทเตรียมจะกลับมาทำธุรกิจเหมืองแร่ดีบุกโดยบริษัทย่อย คือ บริษัท ทรัพยากรสมุทร จำกัด เนื่องจาก ราคาดีบุกปรับตัวเพิ่มขึ้นซึ่งขณะนี้อยู่ที่ 6 แสนบาทต่อตัน และราคาดีบุกมีแนวโน้มจะปรับตัวสูงขึ้นต่อเพราะความต้องการใช้สูง ซึ่งคาดว่าจะเริ่มดำเนินการผลิตได้ภายในปลายปีนี้ ซึ่งเริ่มต้นนั้นจะเป็นลักษณะการซื้อสินแร่จากต่างประเทศ เข้ามาแต่งแร่ เพราะ มีโรงงานแต่งแร่ที่จังหวัดภูเก็ต เพื่อผลิตเป็นดีบุกก่อน
ทั้งนี้ บริษัทอยู่ระหว่างรอรับใบประทานบัตรการทำเมืองแร่ดีบุกที่จังหวัดพังงา ซึ่งจะใช้ระยะเวลา 6 เดือนถึง 1 ปี ปัจจุบันริษัทมีพื้นที่สัปทานการทำเหมืองแร่ดีบุก 50,000 ไร่ ซึ่งการสำรวจพบว่ามีแร่ดีบุก 41,460 ตัน จากการสำรวจ 2,887 หลุม หากผลิตเป็นแร่ดีบุกขึ้นมาจะเพิ่มจีดีพีของประเทศไทยอีก 24,000 ล้านบาท
สำหรับเงินที่จะลงทุนทำธุรกิจผลิตแร่ดีบุกประมาณ 1,000 ล้านบาท จะกู้เงินจากสถาบันการเงิน ซึ่งบริษัทอยู่ระหว่างการพิจารณาว่าTHL จะเป็นผู้กู้ให้กับบริษัทย่อย หรือจะให้บริษัทย่อยกู้เงินเอง และปัจจุบันบริษัทอยู่ระหว่างการหาพันธมิตรที่จะเข้าไปร่วมทุนในการนำแร่ดีบุกมาผลิตในประเทศไทย
"ปัจจุบัน บริษัทมีรายได้หลักจากการผลิตทองคำ และที่เหลือจากการขายหินแอนดีไซด์ และผลจากราคาดีบุกปรับตัวเพิ่มขึ้น และแนวโน้มเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ทำให้บริษัทจะหันมาทำธุรกิจดังกล่าวหลังจากหยุดผลิตตั้งแต่ปี 50 จนปัจจุบัน "นายกิตติศักดิ์ กล่าว
โดยเชื่อว่าในปีนี้บริษัทจะกลับมามีกำไรเป็นปีแรก จากปี 50 ที่ขาดทุน 153 ล้านบาท เพราะครึ่งปีแรก บริษัทมีกำไรสุทธิ 37.42 ล้านบาท อันเป็นผลจากราคาทองคำปรับตัวเพิ่มขึ้น และบริษัทมีกำลังการผลิตทองคำครึ่งปีแรกรวมอยู่ที่ 8,631 ออนซ์ ณ เดือนมิถุนายนบริษัทผลิตทองคำได้ 3,159 ออนซ์
ทั้งนี้ ตั้งเป้าจะมีกำลังการผลิตถึง 2,500 ออนซ์ต่อเดือน ซึ่งจะส่งให้กับธนาคารดอยซ์แบงก์จำนวน 2,083 ออนซ์ต่อเดือนจนถึงปี 55 ถือว่าเพียงพอในการใชี้หนี้ธนาคารดังกล่าวตามสัญญาเงินกู้และในส่วนที่เกินบริษัทก็จะเก็บไว้เพื่อสำรองในการจำหน่ายในเดือนต่อไป และเมื่อเมษายนบริษัทได้มีการปรับสัญญาขายทองกับดอยซ์แบงก์เพิ่มเป็น 862 เหรียญสหรัฐต่อออนซ์ โดยบริษัทหวังว่าภายในปีนี้จะสามารถล้างขาดทุนสะสมที่มี 108 ล้านบาท โดยใช้กำไรจากการดำเนินงานมาล้าง
สำหรับธุรกิจด้านอสังหริมทรัพย์ บริษัทคาดว่าจะเปิดขายคอนโดมิเนียมได้ในปลายปีนี้ ซึ่งมีมูลค่าโครงการกว่า 2,000 ล้านบาท ซึ่ง629 ยูนิต โดยเงินลงทุนนั้นจะเป็นการกู้เงินจากสถาบันการเงิน โดยปัจจุบันบริษัทมีรายได้ประมาณ 72 ล้านบาทต่อเดือน
นายกิตติศักดิ์ รัฐประเสริฐ กรรมการบริหาร บริษัท ทุ่งคาฮาเบอร์ จำกัด (มหาชน) (THL) เปิดเผยว่า บริษัทเตรียมจะกลับมาทำธุรกิจเหมืองแร่ดีบุกโดยบริษัทย่อย คือ บริษัท ทรัพยากรสมุทร จำกัด เนื่องจาก ราคาดีบุกปรับตัวเพิ่มขึ้นซึ่งขณะนี้อยู่ที่ 6 แสนบาทต่อตัน และราคาดีบุกมีแนวโน้มจะปรับตัวสูงขึ้นต่อเพราะความต้องการใช้สูง ซึ่งคาดว่าจะเริ่มดำเนินการผลิตได้ภายในปลายปีนี้ ซึ่งเริ่มต้นนั้นจะเป็นลักษณะการซื้อสินแร่จากต่างประเทศ เข้ามาแต่งแร่ เพราะ มีโรงงานแต่งแร่ที่จังหวัดภูเก็ต เพื่อผลิตเป็นดีบุกก่อน
ทั้งนี้ บริษัทอยู่ระหว่างรอรับใบประทานบัตรการทำเมืองแร่ดีบุกที่จังหวัดพังงา ซึ่งจะใช้ระยะเวลา 6 เดือนถึง 1 ปี ปัจจุบันริษัทมีพื้นที่สัปทานการทำเหมืองแร่ดีบุก 50,000 ไร่ ซึ่งการสำรวจพบว่ามีแร่ดีบุก 41,460 ตัน จากการสำรวจ 2,887 หลุม หากผลิตเป็นแร่ดีบุกขึ้นมาจะเพิ่มจีดีพีของประเทศไทยอีก 24,000 ล้านบาท
สำหรับเงินที่จะลงทุนทำธุรกิจผลิตแร่ดีบุกประมาณ 1,000 ล้านบาท จะกู้เงินจากสถาบันการเงิน ซึ่งบริษัทอยู่ระหว่างการพิจารณาว่าTHL จะเป็นผู้กู้ให้กับบริษัทย่อย หรือจะให้บริษัทย่อยกู้เงินเอง และปัจจุบันบริษัทอยู่ระหว่างการหาพันธมิตรที่จะเข้าไปร่วมทุนในการนำแร่ดีบุกมาผลิตในประเทศไทย
"ปัจจุบัน บริษัทมีรายได้หลักจากการผลิตทองคำ และที่เหลือจากการขายหินแอนดีไซด์ และผลจากราคาดีบุกปรับตัวเพิ่มขึ้น และแนวโน้มเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ทำให้บริษัทจะหันมาทำธุรกิจดังกล่าวหลังจากหยุดผลิตตั้งแต่ปี 50 จนปัจจุบัน "นายกิตติศักดิ์ กล่าว
โดยเชื่อว่าในปีนี้บริษัทจะกลับมามีกำไรเป็นปีแรก จากปี 50 ที่ขาดทุน 153 ล้านบาท เพราะครึ่งปีแรก บริษัทมีกำไรสุทธิ 37.42 ล้านบาท อันเป็นผลจากราคาทองคำปรับตัวเพิ่มขึ้น และบริษัทมีกำลังการผลิตทองคำครึ่งปีแรกรวมอยู่ที่ 8,631 ออนซ์ ณ เดือนมิถุนายนบริษัทผลิตทองคำได้ 3,159 ออนซ์
ทั้งนี้ ตั้งเป้าจะมีกำลังการผลิตถึง 2,500 ออนซ์ต่อเดือน ซึ่งจะส่งให้กับธนาคารดอยซ์แบงก์จำนวน 2,083 ออนซ์ต่อเดือนจนถึงปี 55 ถือว่าเพียงพอในการใชี้หนี้ธนาคารดังกล่าวตามสัญญาเงินกู้และในส่วนที่เกินบริษัทก็จะเก็บไว้เพื่อสำรองในการจำหน่ายในเดือนต่อไป และเมื่อเมษายนบริษัทได้มีการปรับสัญญาขายทองกับดอยซ์แบงก์เพิ่มเป็น 862 เหรียญสหรัฐต่อออนซ์ โดยบริษัทหวังว่าภายในปีนี้จะสามารถล้างขาดทุนสะสมที่มี 108 ล้านบาท โดยใช้กำไรจากการดำเนินงานมาล้าง
สำหรับธุรกิจด้านอสังหริมทรัพย์ บริษัทคาดว่าจะเปิดขายคอนโดมิเนียมได้ในปลายปีนี้ ซึ่งมีมูลค่าโครงการกว่า 2,000 ล้านบาท ซึ่ง629 ยูนิต โดยเงินลงทุนนั้นจะเป็นการกู้เงินจากสถาบันการเงิน โดยปัจจุบันบริษัทมีรายได้ประมาณ 72 ล้านบาทต่อเดือน