GLOW เผย EBITDA ครึ่งปีแรกลด 7.4% เหตุปัจจัยลบทางเศรษฐกิจ บวกกับเงินบาทที่แข็งค่า ส่งผลกำไรลด เร่งลดต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพดันผลงานโตตามเป้า ขณะที่โครงการขยายโรงไฟฟ้า 115 เมกะวัตต์เริ่มเปิดดำเนินการสิ้นปี 52 เดินหน้าแผนผลิตไฟฟ้าและไอน้ำร่วมกัน 3 โครงการใหม่ ใช้เงินถึง 6 หมื่นล้านบาท
นายปีเตอร์ เทอร์โมท ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท โกลว์ พลังงาน จำกัด (มหาชน) (GLOW) กลุ่มบริษัทโกลว์ กล่าวว่าในครึ่งปีแรกบริษัทมีกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษีเงินได้และค่าเสื่อม (EBITDA) ลดลง 7.4 % และกำไรสุทธิก่อนรวมกำไรหรือขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนที่ยังไม่รับรู้ (NNP) ลดลง 5.1 % จากปัจจัยลบทางเศรษฐกิจ โดยตั้งแต่ต้นปีราคาค่าไฟมิได้สะท้อนถึงต้นทุนเชื้อเพลิงที่เพิ่มสูงขึ้นมากนัก ทำให้กำไรลดลงจากเหตุนี้ 360 ล้านบาท ส่วนเงินบาทแข็งค่าส่งผลให้กำไรลดลง 160 ล้านบาท บริษัทจึงมีแผนลดต้นทุนและปรับปรุงประสิทธิภาพการดำเนินงานให้ดีขึ้น
โดยธุรกิจผลิตไฟฟ้าและไอน้ำร่วมกัน ยังคงเติบโตด้วยยอดจำหน่ายไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้น 6% และยอดจำหน่ายไอน้ำเพิ่มขึ้น 1.6 % แต่ไม่ส่งผลต่อกำไรของบริษัทมากนัก เพราะการผลิตมีต้นทุนสูงจนกว่าโครงการขยายโรงไฟฟ้า 115 เมกะวัตต์ จะเริ่มเปิดดำเนินการสิ้นปี 52 และได้ลงนามในสัญญากับกลุ่มลูกค้าอุตสาหกรรมสำหรับจำหน่ายไฟฟ้ากำลังการผลิตรวม 152 เมกะวัตต์ และการจำหน่ายไอน้ำ 358 ตันต่อชั่วโมง ซึ่งยอดขายทั้งหมดคาดเริ่มจำหน่ายได้ภายในปี 53-54 นี้
ขณะที่ธุรกิจโรงไฟฟ้าเอกชนรายใหญ่ (IPP) หรือธุรกิจผลิตไฟฟ้าและไอน้ำร่วมกัน 3 โครงการใหม่ตามแผนงานเดิมถือเป็นการลงทุนครั้งสำคัญ ในอีก 3 ปีข้างหน้าซึ่งจะลงทุนทั้งสิ้นกว่า 1,800 ล้านเหรียญสหรัฐ (หรือ 60,000 ล้านบาท) ซึ่งจะก่อให้เกิดผลกำไรที่สูงขึ้นและส่งผลให้รายได้บริษัทขยับขึ้นสู่ระดับใหม่ตั้งแต่ปี 53 เป็นต้นไป โดยใช้กระแสเงินสดและกู้บางส่วนเพื่อลงทุน โดยไม่ต้องเพิ่มทุน ส่วนการจ่ายเงินปันผลจะยังคงเป็นเช่นที่ผ่านมา
นายปีเตอร์ เทอร์โมท ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท โกลว์ พลังงาน จำกัด (มหาชน) (GLOW) กลุ่มบริษัทโกลว์ กล่าวว่าในครึ่งปีแรกบริษัทมีกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษีเงินได้และค่าเสื่อม (EBITDA) ลดลง 7.4 % และกำไรสุทธิก่อนรวมกำไรหรือขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนที่ยังไม่รับรู้ (NNP) ลดลง 5.1 % จากปัจจัยลบทางเศรษฐกิจ โดยตั้งแต่ต้นปีราคาค่าไฟมิได้สะท้อนถึงต้นทุนเชื้อเพลิงที่เพิ่มสูงขึ้นมากนัก ทำให้กำไรลดลงจากเหตุนี้ 360 ล้านบาท ส่วนเงินบาทแข็งค่าส่งผลให้กำไรลดลง 160 ล้านบาท บริษัทจึงมีแผนลดต้นทุนและปรับปรุงประสิทธิภาพการดำเนินงานให้ดีขึ้น
โดยธุรกิจผลิตไฟฟ้าและไอน้ำร่วมกัน ยังคงเติบโตด้วยยอดจำหน่ายไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้น 6% และยอดจำหน่ายไอน้ำเพิ่มขึ้น 1.6 % แต่ไม่ส่งผลต่อกำไรของบริษัทมากนัก เพราะการผลิตมีต้นทุนสูงจนกว่าโครงการขยายโรงไฟฟ้า 115 เมกะวัตต์ จะเริ่มเปิดดำเนินการสิ้นปี 52 และได้ลงนามในสัญญากับกลุ่มลูกค้าอุตสาหกรรมสำหรับจำหน่ายไฟฟ้ากำลังการผลิตรวม 152 เมกะวัตต์ และการจำหน่ายไอน้ำ 358 ตันต่อชั่วโมง ซึ่งยอดขายทั้งหมดคาดเริ่มจำหน่ายได้ภายในปี 53-54 นี้
ขณะที่ธุรกิจโรงไฟฟ้าเอกชนรายใหญ่ (IPP) หรือธุรกิจผลิตไฟฟ้าและไอน้ำร่วมกัน 3 โครงการใหม่ตามแผนงานเดิมถือเป็นการลงทุนครั้งสำคัญ ในอีก 3 ปีข้างหน้าซึ่งจะลงทุนทั้งสิ้นกว่า 1,800 ล้านเหรียญสหรัฐ (หรือ 60,000 ล้านบาท) ซึ่งจะก่อให้เกิดผลกำไรที่สูงขึ้นและส่งผลให้รายได้บริษัทขยับขึ้นสู่ระดับใหม่ตั้งแต่ปี 53 เป็นต้นไป โดยใช้กระแสเงินสดและกู้บางส่วนเพื่อลงทุน โดยไม่ต้องเพิ่มทุน ส่วนการจ่ายเงินปันผลจะยังคงเป็นเช่นที่ผ่านมา