xs
xsm
sm
md
lg

บ้านปูฟันกำไร4.3พันล้าน อานิสงส์ราคาถ่านหินพุ่ง

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

บ้านปู กำไรสุทธิงวดครึ่งปีกว่า 4.3 พันล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 48% หลังราคาขายถ่านหินเฉลี่ยทะลุ 67 เหรียญสหรัฐต่อตัว สูงกว่าไตรมาสแรกถึง 37% ทดแทนรายจากธุรกิจไฟฟ้าที่ลดลง ด้านโบรกเกอร์ประสานเสียงเชียร์ซื้อหุ้นราคาเป้าหมาย 588 บาท สูงกว่าราคาตลาดล่าสุดที่ 374 บาท ประเมินครึ่งปีหลังแนวโน้มราคาถ่านหินยังขยับขึ้นต่อ หนุนอนาคตสดใส

นายชนินท์ ว่องกุศลกิจ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บ้านปู จำกัด (มหาชน) หรือ BANPU เปิดเผยถึง ผลการดำเนินงานประจำไตรมาส 2 สิ้นสุด ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2551 ว่า บริษัทรวมบริษัทย่อยมีกำไรสุทธิรวม 2,298.76 ล้านบาท กำไรสุทธิต่อหุ้น 8.46 บาท เทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนกำไรสุทธิ 1,758.64 ล้านบาท กำไรสุทธิต่อหุ้น 6.47 บาท กำไรสุทธิเพิ่มขึ้น 540.12 ล้านบาท หรือคิดเป็น 30.71%

ขณะที่งวด 6 เดือนกำไรสุทธิ 4,372.71 ล้านบาท กำไรสุทธิต่อหุ้น 16.09 บาท เพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปีก่อนกำไรสุทธิ 2,952.33 ล้านบาท กำไรสุทธิต่อหุ้น 10.86 บาท หรือกำไรสุทธิเพิ่ม 1,420.38 ล้านบาท คิดเป็น 48.11%

สำหรับสาเหตุที่ส่งผลให้ไตรมาส 2/51 มีผลกำไรสุทธิเพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปีก่อนและไตรมาส 1/51 ในสัดส่วน 31% และ 11% นั้น เกิดจากรายได้ของธุรกิจถ่านหินที่สูงขึ้นซึ่งสามารถชดเชยกำไรจากธุรกิจไฟฟ้าที่ปรับลดลง เนื่องจากราคาขายถ่านหินเฉลี่ยเพิ่มขึ้นแม้จะมีปริมาณจำหน่ายค่อนข้างคงที่ที่ 4.45 ล้านตัน ลดลงจากปีก่อน 9% ขณะที่ราคาขายเฉลี่ยอยู่ที่ 67.47 เหรียญสหรัฐต่อตัน เพิ่มขึ้นจากจากไตรมาส 1/51 ถึง 37%

ด้านต้นทุนการผลิตถ่านหินต่อหน่วยส่วนใหญ่เป็นต้นทุนผันแปรได้ปรับตัวสูงขึ้น 21% โดยในไตรมาสนี้ราคาดีเซลเฉลี่ยในสาธารณรัฐอินโดนีเซียอยู่ที่ 1.13 เหรียญสหรัฐต่อลิตร เพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อน 26% แต่จากราคาขายเฉลี่ยที่สูงขึ้นจึงส่งผลให้อัตรากำไรขั้นต้นของธุรกิจถ่านหินดีขึ้นเป็น 45% จากไตรมาสก่อนอยู่ที่ 37%
ส่วนธุรกิจถ่านหินในประเทศจีนทั้งเหมืองต้าหนิงและเฮ่อปี้ มีผลประกอบการที่ดีขึ้นเช่นกันจากราคาขายถ่านหินในประเทศที่ปรับสูงขึ้น โดยเหมืองทั้งสองแห่งได้บันทึกส่วนแบ่งกำไรจากบริษัทร่วมจำนวน 304 ล้านบาท หรือเทียบกับ 110 ล้านบาทในไตรมาสก่อนหน้า
ขณะที่ธุรกิจไฟฟ้ามีกำไรสุทธิลดลงทั้งโรงไฟฟ้า BLCP และ BPIC ในจีน แม้โรงไฟฟ้า BLCP มีผลการดำเนินงานและอัตราการจ่ายไฟฟ้าที่ราบรื่น แต่ได้บันทึกขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยน 428 ล้านบาท เนื่องจากค่าเงินบาทที่อ่อนตัวลง ทำให้ส่วนแบ่งกำไรจาก BLCP ปรับลดลงเป็น 562 ล้านบาทในไตรมาสนี้

ส่วนโรงไฟฟ้าทั้ง 3 แห่งของบริษัท BPIC ประสบปัญหาราคาถ่านหินที่ยังคงปรับตัวสูงขึ้น ขณะที่ราคาขายไฟฟ้าไม่ได้รับอนุมัติให้ปรับเพิ่มขึ้น ทำให้กำไรสุทธิจาก BPIC จึงปรับลดลงเป็น 36 ล้านบาท จากไตรมาสก่อนอยู่ที่ 85 ล้านบาท

นายชนินท์ กล่าวเพิ่มเติมถึงรายละเอียดของผลการดำเนินงานไตรมาส 2/51 ว่า บริษัทมีรายได้จากการขายรวม 11,068 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 3,152 ล้านบาท คิดเป็น 40% แบ่งเป็นรายได้จากการขายถ่านหิน 10,007 ล้านบาท (90% ของรายได้จากการขายรวมทั้งหมด) มาจากรายได้จากการขายถ่านหินจากแหล่งผลิตในสาธารณรัฐอินโดนีเซีย 9,919 ล้านบาท และไทย 88 ล้านบาท รายได้จากการขายไฟฟ้าและไอน้ำ 1,041 ล้านบาท (9% ของรายได้จากการขายรวม) รายได้อื่น 20 บ้านบาท

ด้าน ต้นทุนขายรวม 6,488 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1,404 ล้านบาท คิดเป็น 28% จากต้นทุนผันแปรที่ปรับตามปริมาณขายถ่านหินคุณภาพดีที่สูงเพิ่มขึ้น ราคาน้ำมันดีเซลที่ปรับสูงขึ้น และการปรับการทำเหมืองในระดับความลึกเพิ่มขึ้น ทางด้านต้นทุนการผลิตไฟฟ้าและไอน้ำเพิ่มขึ้นอย่างมีสาระสำคัญจากการเพิ่มขึ้นของราคาถ่านหินในสาธารณรัฐประชาชนจีน

สำหรับกำไรขั้นต้นรวมจำนวน 4,580 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1,748 ล้านบาท คิดเป็น 62% อัตราส่วนการทำกำไรขั้นต้นต่อยอดขายรวม (Gross Profit Margin) อยู่ที่ 41% ซึ่งธุรกิจถ่านหินมีอัตราส่วนการทำกำไรขั้นต้น 45% และ ธุรกิจไฟฟ้าอยู่ที่ระดับ 9%

ด้านความเคลื่อนไหวราคาหุ้น วานนี้ (13 ส.ค.) ราคาหุ้น BANPU ปรับตัวลดลงจากวันก่อนหน้า โดยปิดการซื้อขายที่ 374 บาท ลดลงจากวันก่อน 18 บาท คิดเป็น 4.59% มูลค่าการซื้อขายรวม 1,398.36 ล้านบาท ขณะที่ดัชนีตลาดหุ้นไทยปิดที่ 701.60 จุด ลดลง 1.33 จุด หรือ 0.19% มูลค่าการซื้อขายรวม 18,757.72 ล้านบาท

บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) เกียรตินาคิน จำกัด ประเมินแนวโน้มธุรกิจ BANPU ว่า ไตรมาส 3/51 บ้านปูยังมีแนวโน้มเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง แม้ 3-4 สัปดาห์ที่ผ่านมาราคาถ่านหินได้ปรับตัวลดลง แต่ราคาเฉลี่ยไตรมาส 3/51 น่าจะทรงตัวอยู่ที่ระดับ 165.3 เหรียญสหรัฐต่อตัน เพิ่มขึ้นจากปีก่อนและไตรมาส 2/51 ในอัตรา 144% และ 20% ตามลำดับ รวมทั้งโดยปกติแล้วยอดขายถ่านหินในช่วงครึ่งปีหลังจะสูงกว่าครึ่งปีแรก โดยยอดขายในช่วงครึ่งปีแรกคิดเป็นสัดส่วน 45% ของเป้าหมายของยอดขายถ่านหินทั้งปีเท่านั้น

จากปัจจัยดังกล่าวจึงยังคงแนะนำให้ซื้อลงทุน แต่ได้ปรับลดราคาที่เหมาะสม BANPU ลงจากเดิมที่ 580 บาท เหลือ 490 บาท เพื่อให้สอดคล้องกับอัตราผลตอบแทนของตลาดเงินและตลาดทุนในปัจจุบัน
ขณะที่ รายงานข่าวจากสมาคมนักวิเคราะห์หลักทรัพย์ แจ้งว่า บริษัทหลักทรัพย์จำนวนกว่า 24 ราย ได้ประเมินสถานการณ์ของบมจ.บ้านปู ที่เกือบทุกรายได้แนะนำให้ลงทุนซื้อหุ้น BANPU โดยให้ราคาเป้าหมายเฉลี่ยที่ 588.37 บาท สูงสุดที่ 656 บาท ต่ำสุดที่ 492 บาท
กำลังโหลดความคิดเห็น