บลจ.ทหารไทยรับหุ้นพลังงานร่วงกดราคาหน่วยลงทุน "MTrack Energy ETF" แต่เชื่อระยะยาวมีโอกาสรีบาวน์สูงหลังนักลงทุนต่างชาติกลับมาซื้อสุทธิอีกครั้งหนึ่ง แนะจับจังหวะทยอยซื้อ - เก็บของถูก ด้านโบรกเกอร์เผยใครที่ซื้อช่วงไอพีโอขาดทุนแล้ว 5% ระบุควรรอให้ราคาน้ำมันลงถึง 110-115 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรลก่อนเข้าลงทุน
นางโชติกา สวนานนท์ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ทหารไทย จำกัด ในฐานะบริษัทจัดการของกองทุน MTrack Energy ETF กล่าวว่า ช่วงที่ผ่านมาดัชนีตลาดหลักทรัพย์และราคาหุ้นในกลุ่มพลังงานปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่อง ส่งผลทำให้มูลค่าหน่วยลงทุนของกองทุน MTrack Energy ETF ซึ่งเป็นกองทุนอิควิตี้ อีทีเอฟซึ่งอ้างอิงกับดัชนีราคาหุ้นหมวดพลังงานและสาธารณูปโภคปรับตัวลดลงบ้างจากราคาในช่วงเปิดเสนอขายครั้งแรก (IPO) แต่วานนี้ (6 ส.ค.51) นักลงทุนต่างชาติเริ่มกลับมาซื้อสุทธิอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งทำให้เชื่อว่าราคาหุ้นกลุ่มพลังงานมีโอกาสที่จะปรับตัวเพิ่มขึ้นอีกครั้งและทำให้ราคาหน่วยลงทุนของกองทุนปรับตัวเพิ่มขึ้นตามไปด้วย
ขณะเดียวกันแม้ว่าราคาของหลักทรัพย์บางบริษัทอาจจะมีการปรับตัวลดลง แต่สำหรับกองทุน MTrack Energy ETF นั้นมีการกระจายความเสี่ยงเพราะลงทุนในหุ้นที่มีมาร์เก็ตแคปขนาดใหญ่และมีสภาพคล่องสูงในกลุ่มพลังงานถึง 10 บริษัทด้วยกัน
"กลุ่มพลังงานนับว่าเป็นกลุ่มอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ ในขณะที่ปัจจัยพื้นฐานของบริษัทในกลุ่มนี้ยังแข็งแกร่ง แม้ว่าตอนนี้ราคาจะลดลงมาบ้าง แต่เชื่อว่าจะมีโอกาสรีบาวน์ และคาดว่านักลงทุนต่างชาติไม่น่าจะให้น้ำหนักการลงทุนในกลุ่มนี้น้อยกว่าตลาด ซึ่งราคาที่มีการปรับตัวลดลงในขณะนี้นับว่าเป็นโอกาสดีที่นักลงทุนที่ลงทุนอยู่แล้วจะทยอยซื้อหรือเฉลี่ยซื้อ ในขณะที่นักลงทุนซึ่งยังไม่ได้เข้ามาลงทุนก็จะเข้ามาลงทุนในราคาที่ถูกลงได้"นางโชติกา กล่าว
นายวิวัฒน์ เตชะพูลผล หัวหน้าฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ทิสโก้ จำกัด เปิดเผยว่า นักลงทุนที่มีการจองซื้อหุ้นของกองทุนอิควิตี้ อีทีเอฟซึ่งอ้างอิงกับดัชนีราคาหุ้นหมวดพลังงานและสาธารณูปโภค(MTrack Energy ETF) ที่จะเปิดซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย(ตลท.) เป็นวันนี้ (10ส.ค.) นั้น จะได้รับผลขาดทุนประมาณ 5%จากราคาจองที่ 4.11 บาท
ทั้งนี้ การที่ราคาน้ำมันปรับตัวลดลงมาส่งผลให้ดัชนีหุ้นกลุ่มพลังงานปรับตัวลดลงจากวันที่ 29 กรกฎาคม 2551 ซึ่งเป็นช่วงที่ใช้ดัชนีหุ้นพลังงานวันดังกล่าวเป็นฐานในการกำหนดราคาจองซื้อ โดยบริษัทแนะนำนักลงทุนที่สนใจที่จะเข้าลงทุนในกองทุน MTrack Energy ETF "รอจังหวะ" ในการเข้าซื้อในช่วงที่ราคาน้ำมันปรับตัวลดลงอยู่ที่ระดับประมาณ 110-115 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล
"จากการที่อีทีเอฟพลังงานจะมีการเทรดวันนี้เป็นวันแรกนั้น สำหรับนักลงทุนที่เข้าไปจองซื้อหุ้นในช่วงไอพีโอนั้นจะได้รับผลขาดทุนประมาณ 5% จากการที่ดัชนีมีการปรับตัวลดลงจากวันที่ 29 ก.ค.ซึ่งเป็นวันที่ใช้ดัชนีวันดังกล่าวเป็นตัวกำหนดราคาไอพีโอ ซึ่งหากนักลงทุนสนใจเข้าลงทุนควรรอให้ราคาน้ำมันอยู่ที่ระดับ 110-115 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรลจึงเป็นจังหวะที่น่าสนใจ "นายวิวัฒน์ กล่าว
นายชัย จิรเสวีนุประพันธ์ ผู้จัดการฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บล.พัฒนสิน กล่าวว่า ภายหลังจากที่กองทุน Mtrack Energy ETF เข้าซื้อขายในตลาดหุ้นแล้วนั้น คาดว่าในช่วงแรกๆ อาจจะยังไม่โดดเด่นมากนัก เพราะกองทุนนี้เป็นกองทุนที่หวังผลในระยะยาวมากกว่าในระยะสั้น
"แม้ว่าช่วงแรกกองทุนอาจจะไม่โดดเด่นมากนัก แต่ส่วนตัวเชื่อว่าในระยะยาวกองทุนนนี้จะมีทิศทางที่ดีและน่าจะเป็นอีกหนึ่งทางเลือกในการลงทุนได้ เช่นหากนักลงทุนไม่สามารถเข้าซื้อหุ้นของบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) หรือ PTT อาจจะใช้กองทุนนี้เป็นทางเลือกที่จะเข้ามาลงทุนแทน ขณะที่การลงทุนในหลักทรัพย์ของกลุ่มพลังงานนั้น นักลงทุนจะต้องมีการพิจารณาถึงปัจจัยพื้นฐานเป็นหลัก และต้องคำนึงถึงแนวโน้มราคาน้ำมันในอนาคตด้วย" นายชัย กล่าว
นายกวี ชูกิจเกษม ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บล.กสิกรไทย กล่าวถึงกองทุน Mtrack Energy ETF ซึ่งจะเข้าทำการซื้อขายในตลาดหุ้นวันนี้ว่า ผลจากราคานํ้ามันที่ปรับตัวลดลงมาในขณะนี้แม้จะทำให้ผู้ที่ซื้อหน่วยลงทุนไปในช่วงที่เปิดเสนอขายหน่วยลงทุนครั้งแรก (IPO) ขาดทุนบ้าง แต่ราคานํ้ามันที่ปรับตัวลดลงนั้นก็ส่งผลต่อกองทุนอื่นที่ลงทุนในกลุ่มพลังงานเช่นเดียวกัน อย่างไงก็ตามแม้ว่าราคานํ้ามันจะลดลงมาบ้างแต่ก็เป็นเพียงระยะสั้นๆเท่านั้น ซึ่งในระยะยาวแล้วหุ้นในกลุ่มพลังงานยังคงเป็นทางเลือกที่ดีอยู่
สำหรับแนวโน้มราคานํ้ามันนั้น คาดว่ามีความเป็นไปได้ที่ราคานํ้ามันน่าจะปรับตัวลดลงมาอยู่ที่ประมาณ 100 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล เพราะความต้องการใช้นํ้ามันในตลาดโลกปรับตัวลดลงมา
ทั้งนี้กองทุน MTrack Energy ETF เป็นกองทุนที่มีสไตล์การลงทุนเชิงอนุรักษ์ (passive management) มุ่งหมายให้ได้รับผลตอบแทนใกล้เคียงกับดัชนีกลุ่มพลังงาน โดยกองทุนจะเข้าลงทุนในหุ้นพลังงานที่มีมาร์เก็ตแคปขนาดใหญ่และมีสภาพคล่องสูง 10 บริษัทแรก ซึ่งประกอบด้วย บมจ.ปตท. , บมจ. ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม (PTTEP) , บมจ. ไทยออยล์ (TOP) , บมจ. บ้านปู (BANPU) , บมจ. ไออาร์พีซี (IRPC) , บมจ. ปตท. อะโรเมติกส์และการกลั่น (PTTAR) , บมจ. ผลิตไฟฟ้าราชบุรีโฮลดิ้ง (RATCH) , บมจ. ผลิตไฟฟ้า (EGCO), บมจ. โกลว์พลังงาน (GLOW) และ บมจ. เอสโซ่ (ประเทศไทย) (ESSO) โดยกลุ่มหุ้นนี้คิดเป็น 97%ของดัชนีหมวดธุรกิจพลังงาน อย่างไรก็ตามกลุ่มหุ้นดังกล่าวสามารถจะเปลี่ยนแปลงได้ขึ้นอยู่กับภาวะดัชนี ในช่วงนั้น
ขณะเดียวกันในการระดมทุนในช่วงไอพีโอระหว่างวันที่ 21-28 กรกฎาคม 255 นั้น ปรากฎว่ากองทุนสามารถระดมทุนได้ 300 ล้านบาท โดยรายชื่อผู้ถือหน่วยลงทุนรายใหญ่ 5 อันดับแรก ณ วันที่ 28 กรกฎาคม 2551 ปรากฎดังต่อไปนี้ อันดับ 1 บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ภัทร จำกัด (มหาชน) ถือหน่วยลงทุนจำนวน 17,168,600 หน่วย คิดเป็น 22.89% , อันดับ 2 ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ถือหน่วยลงทุนจำนวน 7,293,500 หน่วย คิดเป็น 9.72% , อันดับ 3 ชูศรี เนื่องจำนงค์ ถือหน่วยลงทุนจำนวน 2,990,300 หน่วย คิดเป็น 3.99% , อันดับ 4 สุรีรัตน์ ประจักษ์ธรรม ถือหน่วยลงทุนจำนวน 2,552,700 หน่วย คิดเป็น 3.40% และอันดับ 5 ประเสริฐ บุญสัมพันธ์ ถือหน่วยลงทุนจำนวน 2,431,100 หน่วย คิดเป็น 3.24%
นางโชติกา สวนานนท์ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ทหารไทย จำกัด ในฐานะบริษัทจัดการของกองทุน MTrack Energy ETF กล่าวว่า ช่วงที่ผ่านมาดัชนีตลาดหลักทรัพย์และราคาหุ้นในกลุ่มพลังงานปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่อง ส่งผลทำให้มูลค่าหน่วยลงทุนของกองทุน MTrack Energy ETF ซึ่งเป็นกองทุนอิควิตี้ อีทีเอฟซึ่งอ้างอิงกับดัชนีราคาหุ้นหมวดพลังงานและสาธารณูปโภคปรับตัวลดลงบ้างจากราคาในช่วงเปิดเสนอขายครั้งแรก (IPO) แต่วานนี้ (6 ส.ค.51) นักลงทุนต่างชาติเริ่มกลับมาซื้อสุทธิอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งทำให้เชื่อว่าราคาหุ้นกลุ่มพลังงานมีโอกาสที่จะปรับตัวเพิ่มขึ้นอีกครั้งและทำให้ราคาหน่วยลงทุนของกองทุนปรับตัวเพิ่มขึ้นตามไปด้วย
ขณะเดียวกันแม้ว่าราคาของหลักทรัพย์บางบริษัทอาจจะมีการปรับตัวลดลง แต่สำหรับกองทุน MTrack Energy ETF นั้นมีการกระจายความเสี่ยงเพราะลงทุนในหุ้นที่มีมาร์เก็ตแคปขนาดใหญ่และมีสภาพคล่องสูงในกลุ่มพลังงานถึง 10 บริษัทด้วยกัน
"กลุ่มพลังงานนับว่าเป็นกลุ่มอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ ในขณะที่ปัจจัยพื้นฐานของบริษัทในกลุ่มนี้ยังแข็งแกร่ง แม้ว่าตอนนี้ราคาจะลดลงมาบ้าง แต่เชื่อว่าจะมีโอกาสรีบาวน์ และคาดว่านักลงทุนต่างชาติไม่น่าจะให้น้ำหนักการลงทุนในกลุ่มนี้น้อยกว่าตลาด ซึ่งราคาที่มีการปรับตัวลดลงในขณะนี้นับว่าเป็นโอกาสดีที่นักลงทุนที่ลงทุนอยู่แล้วจะทยอยซื้อหรือเฉลี่ยซื้อ ในขณะที่นักลงทุนซึ่งยังไม่ได้เข้ามาลงทุนก็จะเข้ามาลงทุนในราคาที่ถูกลงได้"นางโชติกา กล่าว
นายวิวัฒน์ เตชะพูลผล หัวหน้าฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ทิสโก้ จำกัด เปิดเผยว่า นักลงทุนที่มีการจองซื้อหุ้นของกองทุนอิควิตี้ อีทีเอฟซึ่งอ้างอิงกับดัชนีราคาหุ้นหมวดพลังงานและสาธารณูปโภค(MTrack Energy ETF) ที่จะเปิดซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย(ตลท.) เป็นวันนี้ (10ส.ค.) นั้น จะได้รับผลขาดทุนประมาณ 5%จากราคาจองที่ 4.11 บาท
ทั้งนี้ การที่ราคาน้ำมันปรับตัวลดลงมาส่งผลให้ดัชนีหุ้นกลุ่มพลังงานปรับตัวลดลงจากวันที่ 29 กรกฎาคม 2551 ซึ่งเป็นช่วงที่ใช้ดัชนีหุ้นพลังงานวันดังกล่าวเป็นฐานในการกำหนดราคาจองซื้อ โดยบริษัทแนะนำนักลงทุนที่สนใจที่จะเข้าลงทุนในกองทุน MTrack Energy ETF "รอจังหวะ" ในการเข้าซื้อในช่วงที่ราคาน้ำมันปรับตัวลดลงอยู่ที่ระดับประมาณ 110-115 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล
"จากการที่อีทีเอฟพลังงานจะมีการเทรดวันนี้เป็นวันแรกนั้น สำหรับนักลงทุนที่เข้าไปจองซื้อหุ้นในช่วงไอพีโอนั้นจะได้รับผลขาดทุนประมาณ 5% จากการที่ดัชนีมีการปรับตัวลดลงจากวันที่ 29 ก.ค.ซึ่งเป็นวันที่ใช้ดัชนีวันดังกล่าวเป็นตัวกำหนดราคาไอพีโอ ซึ่งหากนักลงทุนสนใจเข้าลงทุนควรรอให้ราคาน้ำมันอยู่ที่ระดับ 110-115 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรลจึงเป็นจังหวะที่น่าสนใจ "นายวิวัฒน์ กล่าว
นายชัย จิรเสวีนุประพันธ์ ผู้จัดการฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บล.พัฒนสิน กล่าวว่า ภายหลังจากที่กองทุน Mtrack Energy ETF เข้าซื้อขายในตลาดหุ้นแล้วนั้น คาดว่าในช่วงแรกๆ อาจจะยังไม่โดดเด่นมากนัก เพราะกองทุนนี้เป็นกองทุนที่หวังผลในระยะยาวมากกว่าในระยะสั้น
"แม้ว่าช่วงแรกกองทุนอาจจะไม่โดดเด่นมากนัก แต่ส่วนตัวเชื่อว่าในระยะยาวกองทุนนนี้จะมีทิศทางที่ดีและน่าจะเป็นอีกหนึ่งทางเลือกในการลงทุนได้ เช่นหากนักลงทุนไม่สามารถเข้าซื้อหุ้นของบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) หรือ PTT อาจจะใช้กองทุนนี้เป็นทางเลือกที่จะเข้ามาลงทุนแทน ขณะที่การลงทุนในหลักทรัพย์ของกลุ่มพลังงานนั้น นักลงทุนจะต้องมีการพิจารณาถึงปัจจัยพื้นฐานเป็นหลัก และต้องคำนึงถึงแนวโน้มราคาน้ำมันในอนาคตด้วย" นายชัย กล่าว
นายกวี ชูกิจเกษม ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บล.กสิกรไทย กล่าวถึงกองทุน Mtrack Energy ETF ซึ่งจะเข้าทำการซื้อขายในตลาดหุ้นวันนี้ว่า ผลจากราคานํ้ามันที่ปรับตัวลดลงมาในขณะนี้แม้จะทำให้ผู้ที่ซื้อหน่วยลงทุนไปในช่วงที่เปิดเสนอขายหน่วยลงทุนครั้งแรก (IPO) ขาดทุนบ้าง แต่ราคานํ้ามันที่ปรับตัวลดลงนั้นก็ส่งผลต่อกองทุนอื่นที่ลงทุนในกลุ่มพลังงานเช่นเดียวกัน อย่างไงก็ตามแม้ว่าราคานํ้ามันจะลดลงมาบ้างแต่ก็เป็นเพียงระยะสั้นๆเท่านั้น ซึ่งในระยะยาวแล้วหุ้นในกลุ่มพลังงานยังคงเป็นทางเลือกที่ดีอยู่
สำหรับแนวโน้มราคานํ้ามันนั้น คาดว่ามีความเป็นไปได้ที่ราคานํ้ามันน่าจะปรับตัวลดลงมาอยู่ที่ประมาณ 100 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล เพราะความต้องการใช้นํ้ามันในตลาดโลกปรับตัวลดลงมา
ทั้งนี้กองทุน MTrack Energy ETF เป็นกองทุนที่มีสไตล์การลงทุนเชิงอนุรักษ์ (passive management) มุ่งหมายให้ได้รับผลตอบแทนใกล้เคียงกับดัชนีกลุ่มพลังงาน โดยกองทุนจะเข้าลงทุนในหุ้นพลังงานที่มีมาร์เก็ตแคปขนาดใหญ่และมีสภาพคล่องสูง 10 บริษัทแรก ซึ่งประกอบด้วย บมจ.ปตท. , บมจ. ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม (PTTEP) , บมจ. ไทยออยล์ (TOP) , บมจ. บ้านปู (BANPU) , บมจ. ไออาร์พีซี (IRPC) , บมจ. ปตท. อะโรเมติกส์และการกลั่น (PTTAR) , บมจ. ผลิตไฟฟ้าราชบุรีโฮลดิ้ง (RATCH) , บมจ. ผลิตไฟฟ้า (EGCO), บมจ. โกลว์พลังงาน (GLOW) และ บมจ. เอสโซ่ (ประเทศไทย) (ESSO) โดยกลุ่มหุ้นนี้คิดเป็น 97%ของดัชนีหมวดธุรกิจพลังงาน อย่างไรก็ตามกลุ่มหุ้นดังกล่าวสามารถจะเปลี่ยนแปลงได้ขึ้นอยู่กับภาวะดัชนี ในช่วงนั้น
ขณะเดียวกันในการระดมทุนในช่วงไอพีโอระหว่างวันที่ 21-28 กรกฎาคม 255 นั้น ปรากฎว่ากองทุนสามารถระดมทุนได้ 300 ล้านบาท โดยรายชื่อผู้ถือหน่วยลงทุนรายใหญ่ 5 อันดับแรก ณ วันที่ 28 กรกฎาคม 2551 ปรากฎดังต่อไปนี้ อันดับ 1 บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ภัทร จำกัด (มหาชน) ถือหน่วยลงทุนจำนวน 17,168,600 หน่วย คิดเป็น 22.89% , อันดับ 2 ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ถือหน่วยลงทุนจำนวน 7,293,500 หน่วย คิดเป็น 9.72% , อันดับ 3 ชูศรี เนื่องจำนงค์ ถือหน่วยลงทุนจำนวน 2,990,300 หน่วย คิดเป็น 3.99% , อันดับ 4 สุรีรัตน์ ประจักษ์ธรรม ถือหน่วยลงทุนจำนวน 2,552,700 หน่วย คิดเป็น 3.40% และอันดับ 5 ประเสริฐ บุญสัมพันธ์ ถือหน่วยลงทุนจำนวน 2,431,100 หน่วย คิดเป็น 3.24%