ทีพีไอโพลีน กำไรสุทธิไตรมาส 2/51 ทรุดเกือบ 92% หลังเจอพิษขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนสูงกว่า 530 ล้านบาท ด้านผู้บริหาร "อรพิน เลี่ยวไพรัตน์" เผยผลการดำเนินงานปกติกำไรเพิ่ม 14% จากธุรกิจเม็ดพลาสติกขยายตัวดีขึ้น ด้านบล.กิมเอ็งฯ แนะนำ "ถือ" ให้ราคาประเมินที่ 10.50 บาท จากราคาตลาดปัจจุบันอยู่ที่ 5.45 บาท
นางอรพิน เลี่ยวไพรัตน์กรรมการรองผู้จัดการใหญ่อาวุโส บริษัท ทีพีไอ โพลีน จำกัด (มหาชน) หรือ TPIPL กล่าวถึง ผลการดำเนินงานประจำไตรมาส 2 สิ้นสุด ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2551 ว่า บริษัทและบริษัทย่อยมีกำไรสุทธิรวม 74.32 ล้านบาท กำไรสุทธิต่อหุ้น 0.04 บาท เทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนกำไรสุทธิ 878.11 ล้านบาท กำไรสุทธิต่อหุ้น 0.44 บาท หรือกำไรสุทธิลดลง 803.79 ล้านบาท คิดเป็น 91.54%
ขณะที่ผลการดำเนินงานงวด 6 เดือน กำไรสุทธิ 991.66 ล้านบาท กำไรสุทธิต่อหุ้น 0.50 บาท ลดลงจากงวดเดียวกันของปีก่อนที่กำไรสุทธิ 1,646.85 ล้านบาท กำไรสุทธิต่อหุ้น 0.82 บาท หรือลดลงกว่า 655.19 ล้านบาท คิดเป็น 39.78%
สำหรับสาเหตุหลักที่ส่งผลให้กำไรสุทธิไตรมาส 2/51 ลดลงนั้น นางอรพิน กล่าวว่า บริษัทได้บันทึกผลขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยน 530 ล้านบาท เมื่อเทียบกับผลกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน 119 ล้านบาท ในไตรมาส 2 ปีก่อน
โดยบริษัทและบริษัทย่อยมีรายได้จากการขายและรายได้รวมจำนวน 6,573 ล้านบาท และ 6,994 ล้านบาท ในไตรมาส 2/51 เพิ่มขึ้น 11.65% และ 9.84% จากจำนวน 5,887 ล้านบาท และ 6,368 ล้านบาท ในไตรมาส 2/50 ตามลำดับ และกำไรก่อนหักดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและรายการตัดจำหน่าย (EBITDA) จำนวน 1,094 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 30.05% จากจำนวน 841 ล้านบาทในปีก่อน
"แม้ว่าไตรมาส 2/51 บริษัทจะมีกำไรสุทธิลดลงกว่า 91% แต่หากพิจารณาเฉพาะมีกำไรจากการดำเนินธุรกิจปกติจำนวน 622 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 13.93% จาก 546 ล้านบาทในงวดเดียวกันของปีที่ผ่านมา โดยมีสาเหตุหลักมาจากผลประกอบการของธุรกิจเม็ดพลาสติกที่ดีขึ้นเมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีที่ผ่านมา"
ส่วนผลการดำเนินงานสะสมงวด 6 เดือนแรกของปี 51 นั้น บริษัทและบริษัทย่อยมีกำไรจากการดำเนินธุรกิจปกติ 1,509 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 18.46% จาก 1,274 ล้านบาทในงวดเดียวกันของปีที่ผ่านมา ขณะที่กำไรสุทธิลดลงเกือบ 40% สืบเนื่องจากในช่วง 6 เดือนแรกของปี 51 บริษัทบันทึกผลขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยน 132 ล้านบาท เมื่อเทียบกับปีก่อนที่มีผลกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน 389 ล้านบาท
นอกจากนี้ บริษัทบันทึกภาษีเงินได้นิติบุคคล 340 ล้านบาท เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับจำนวน 17 ล้านบาท ในงวดเดียวกันของปีที่ผ่านมา และ ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2551 บริษัทฯ มีมูลค่าตามบัญชีต่อหุ้นเท่ากับ 28.96 บาท
ด้านบริษัทหลักทรัพย์ (บล.) กิมเอ็ง (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ประเมินว่า TPIPL มีกำไรสุทธิไตรมาส 2/51 ลดลงจากปีก่อนเกือบ 92% เนื่องจากขาดทุนในอัตราแลกเปลี่ยนถึง 530 ล้านบาท แต่หากตัดรายการนี้ TPIPL จะมีกำไรปกติที่อยู่ในเกณฑ์ดีเท่ากับ 605 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากไตรมาส 1/51 ประมาณ 7% แต่ลดลงจากปีก่อน 20% เนื่องจากปีก่อนมีการบวกกลับภาษีถ้าหากตัดเรื่องภาษีออกไปกำไรปีนี้จะเพิ่มขึ้นจากปีก่อนเท่ากับ 14% ผลการดำเนินงานปกติที่อยู่ในเกณฑ์ดีดังกล่าว เนื่องจากได้แรงหนุนจากราคาขายปูนซีเมนต์ที่ปรับตัวสูงขึ้น
ขณะที่แนวโน้มผลประกอบการในช่วงครึ่งปีหลัง ยังคงมีแนวโน้มชะลอตัวจากความต้องการปูนซีเมนต์ ซึ่งถูกกระทบจาก ปัญหาเศรษฐกิจ และ การเมือง ส่วนธุรกิจปิโตรเคมี ปรากฏว่าสเปรดระหว่าง LDPE - Ethylene ในเดือน ก.ค. ได้อ่อนตัวลดลงเหลือ 280-300 เหรียญ/ตัน เทียบกับ 341 เหรียญ/ตัน ในไตรมาส 2/51 แต่โดยรวมแล้วคาดว่ากำไรปกติปีนี้น่าจะอยู่ในระดับใกล้เคียงกับปีก่อน แม้ว่าจะถูกกดดันจากอุปสงค์ปูนซีเมนต์ในประเทศที่ติดลบ และแรงกดดันต้นทุนพลังงานโดยเฉพาะถ่านหิน
บล.กิมเอ็งฯ ให้คงคำแนะนำให้ถือ จากระดับราคาณ ปัจจุบันถือว่าราคายังต่ำ พีอี แค่ 5.8 เท่า ซึ่งต่ำกว่าราคาเหมาะสมประเมินไว้ที่ 10.50 บาท (หรือซื้อขาย P/E ปี 2551 เท่ากับ 11 เท่า ซึ่งเป็นส่วนลดจาก P/E อุตสาหกรรมปูนซีเมนต์เท่ากับ 15 ท่า) แต่เนื่องจากมีความเสี่ยงสูงในประเด็นเรื่องเงินค่าปรับที่สูงถึง 6.9 พันล้านบาท
ด้านความเคลื่อนไหวราคาหุ้นวานนี้ (28 ก.ค.) ราคาหุ้นปรับตัวลดลงตั้งแต่เปิดการซื้อขายในช่วงเช้า หลังจากที่ TPIPL ได้แจ้งผลการดำเนินงานไตรมาส 2/51 ต่อตลาดหลักทรัพย์ฯ โดยราคาได้ปรับตัวลดลงไปทำราคาต่ำสุดที่ 5.40 บาท สูงสุด 5.50 บาท ก่อนจะปิดการซื้อขายที่หุ้นละ 5.45 บาท ลดลงจากวันก่อน 0.10 บาท คิดเป็น 1.80% มูลค่าการซื้อขายรวม 10.30 บาท
นางอรพิน เลี่ยวไพรัตน์กรรมการรองผู้จัดการใหญ่อาวุโส บริษัท ทีพีไอ โพลีน จำกัด (มหาชน) หรือ TPIPL กล่าวถึง ผลการดำเนินงานประจำไตรมาส 2 สิ้นสุด ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2551 ว่า บริษัทและบริษัทย่อยมีกำไรสุทธิรวม 74.32 ล้านบาท กำไรสุทธิต่อหุ้น 0.04 บาท เทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนกำไรสุทธิ 878.11 ล้านบาท กำไรสุทธิต่อหุ้น 0.44 บาท หรือกำไรสุทธิลดลง 803.79 ล้านบาท คิดเป็น 91.54%
ขณะที่ผลการดำเนินงานงวด 6 เดือน กำไรสุทธิ 991.66 ล้านบาท กำไรสุทธิต่อหุ้น 0.50 บาท ลดลงจากงวดเดียวกันของปีก่อนที่กำไรสุทธิ 1,646.85 ล้านบาท กำไรสุทธิต่อหุ้น 0.82 บาท หรือลดลงกว่า 655.19 ล้านบาท คิดเป็น 39.78%
สำหรับสาเหตุหลักที่ส่งผลให้กำไรสุทธิไตรมาส 2/51 ลดลงนั้น นางอรพิน กล่าวว่า บริษัทได้บันทึกผลขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยน 530 ล้านบาท เมื่อเทียบกับผลกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน 119 ล้านบาท ในไตรมาส 2 ปีก่อน
โดยบริษัทและบริษัทย่อยมีรายได้จากการขายและรายได้รวมจำนวน 6,573 ล้านบาท และ 6,994 ล้านบาท ในไตรมาส 2/51 เพิ่มขึ้น 11.65% และ 9.84% จากจำนวน 5,887 ล้านบาท และ 6,368 ล้านบาท ในไตรมาส 2/50 ตามลำดับ และกำไรก่อนหักดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและรายการตัดจำหน่าย (EBITDA) จำนวน 1,094 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 30.05% จากจำนวน 841 ล้านบาทในปีก่อน
"แม้ว่าไตรมาส 2/51 บริษัทจะมีกำไรสุทธิลดลงกว่า 91% แต่หากพิจารณาเฉพาะมีกำไรจากการดำเนินธุรกิจปกติจำนวน 622 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 13.93% จาก 546 ล้านบาทในงวดเดียวกันของปีที่ผ่านมา โดยมีสาเหตุหลักมาจากผลประกอบการของธุรกิจเม็ดพลาสติกที่ดีขึ้นเมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีที่ผ่านมา"
ส่วนผลการดำเนินงานสะสมงวด 6 เดือนแรกของปี 51 นั้น บริษัทและบริษัทย่อยมีกำไรจากการดำเนินธุรกิจปกติ 1,509 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 18.46% จาก 1,274 ล้านบาทในงวดเดียวกันของปีที่ผ่านมา ขณะที่กำไรสุทธิลดลงเกือบ 40% สืบเนื่องจากในช่วง 6 เดือนแรกของปี 51 บริษัทบันทึกผลขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยน 132 ล้านบาท เมื่อเทียบกับปีก่อนที่มีผลกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน 389 ล้านบาท
นอกจากนี้ บริษัทบันทึกภาษีเงินได้นิติบุคคล 340 ล้านบาท เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับจำนวน 17 ล้านบาท ในงวดเดียวกันของปีที่ผ่านมา และ ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2551 บริษัทฯ มีมูลค่าตามบัญชีต่อหุ้นเท่ากับ 28.96 บาท
ด้านบริษัทหลักทรัพย์ (บล.) กิมเอ็ง (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ประเมินว่า TPIPL มีกำไรสุทธิไตรมาส 2/51 ลดลงจากปีก่อนเกือบ 92% เนื่องจากขาดทุนในอัตราแลกเปลี่ยนถึง 530 ล้านบาท แต่หากตัดรายการนี้ TPIPL จะมีกำไรปกติที่อยู่ในเกณฑ์ดีเท่ากับ 605 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากไตรมาส 1/51 ประมาณ 7% แต่ลดลงจากปีก่อน 20% เนื่องจากปีก่อนมีการบวกกลับภาษีถ้าหากตัดเรื่องภาษีออกไปกำไรปีนี้จะเพิ่มขึ้นจากปีก่อนเท่ากับ 14% ผลการดำเนินงานปกติที่อยู่ในเกณฑ์ดีดังกล่าว เนื่องจากได้แรงหนุนจากราคาขายปูนซีเมนต์ที่ปรับตัวสูงขึ้น
ขณะที่แนวโน้มผลประกอบการในช่วงครึ่งปีหลัง ยังคงมีแนวโน้มชะลอตัวจากความต้องการปูนซีเมนต์ ซึ่งถูกกระทบจาก ปัญหาเศรษฐกิจ และ การเมือง ส่วนธุรกิจปิโตรเคมี ปรากฏว่าสเปรดระหว่าง LDPE - Ethylene ในเดือน ก.ค. ได้อ่อนตัวลดลงเหลือ 280-300 เหรียญ/ตัน เทียบกับ 341 เหรียญ/ตัน ในไตรมาส 2/51 แต่โดยรวมแล้วคาดว่ากำไรปกติปีนี้น่าจะอยู่ในระดับใกล้เคียงกับปีก่อน แม้ว่าจะถูกกดดันจากอุปสงค์ปูนซีเมนต์ในประเทศที่ติดลบ และแรงกดดันต้นทุนพลังงานโดยเฉพาะถ่านหิน
บล.กิมเอ็งฯ ให้คงคำแนะนำให้ถือ จากระดับราคาณ ปัจจุบันถือว่าราคายังต่ำ พีอี แค่ 5.8 เท่า ซึ่งต่ำกว่าราคาเหมาะสมประเมินไว้ที่ 10.50 บาท (หรือซื้อขาย P/E ปี 2551 เท่ากับ 11 เท่า ซึ่งเป็นส่วนลดจาก P/E อุตสาหกรรมปูนซีเมนต์เท่ากับ 15 ท่า) แต่เนื่องจากมีความเสี่ยงสูงในประเด็นเรื่องเงินค่าปรับที่สูงถึง 6.9 พันล้านบาท
ด้านความเคลื่อนไหวราคาหุ้นวานนี้ (28 ก.ค.) ราคาหุ้นปรับตัวลดลงตั้งแต่เปิดการซื้อขายในช่วงเช้า หลังจากที่ TPIPL ได้แจ้งผลการดำเนินงานไตรมาส 2/51 ต่อตลาดหลักทรัพย์ฯ โดยราคาได้ปรับตัวลดลงไปทำราคาต่ำสุดที่ 5.40 บาท สูงสุด 5.50 บาท ก่อนจะปิดการซื้อขายที่หุ้นละ 5.45 บาท ลดลงจากวันก่อน 0.10 บาท คิดเป็น 1.80% มูลค่าการซื้อขายรวม 10.30 บาท