บริการเชื้อเพลิงการบินกรุงเทพ โชว์ผลงานครึ่งปีแรกกำไรสุทธิ 265 ล้านบาท ลดลงจากปีก่อน 50 ล้านบาท หรือ 16% หลังรายได้ลดสวนทางค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้น ขณะที่บอร์ดใจป้ำอนุมัติจ่ายปันผลหุ้นละ 15 สตางค์ พร้อมไฟเขียวทุ่มเงิน 300 ล้านบาท ซื้อหุ้น JP-One เพิ่ม 42.5% ส่งผลให้กลายเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่รวม 92.5%
หม่อมราชวงศ์ศุภดิศ ดิศกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท บริการเชื้อเพลิงการบินกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BAFS กล่าวถึง ผลการดำเนินงานประจำไตรมาส 2 สิ้นสุด ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2551 ว่า บริษัทมีกำไรสุทธิ 124.22 ล้านบาท กำไรสุทธิต่อหุ้น 0.24 บาท เทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนกำไรสุทธิ 153.16 ล้านบาท กำไรสุทธิต่อหุ้น 0.33 บาท
ขณะที่ผลงานงวด 6 เดือนแรกกำไรสุทธิรวม 264.99 ล้านบาท กำไรสุทธิต่อหุ้น 0.52 บาท เทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนกำไรสุทธิ 315.72 ล้านบาท กำไรสุทธิต่อหุ้น 0.71 บาท หรือกำไรสุทธิลดลง 50.73 ล้านบาท คิดเป็น 16.07%
โดยไตรมาส 2/51 บริษัทมีรายได้รวม 536.0 ล้านบาท ลดลงจากงวดเดียวกันของปีก่อน 8.5 ล้านบาท หรือ 1.6% แบ่งเป็นรายได้ค่าบริการ 528.2 ล้านบาท ลดลง 0.1% รายได้ค่าเช่า 5.0 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 0.4 ล้านบาท หรือ 8.8% และรายได้อื่น 2.7 ล้านบาท ลดลงจากปีก่อน 9.7 ล้านบาท หรือ 77.8%
ด้านค่าใช้จ่ายนั้น บริษัทมีต้นทุนการให้บริการรวมทั้งสิ้น 224.9 ล้านบาท โดยต้นทุนการให้บริการเพิ่มขึ้นจากปีก่อน 21.7 ล้านบาท หรือ 10.7% เกิดจากสาเหตุหลักๆ คือ ค่าเช่าระบบท่อส่งเชื้อเพลิงเพื่อดำเนินกิจการให้บริการเติมน้ำมันเชื้อเพลิงแก่อากาศยาน ณ ท่าอากาศยานกรุงเทพ และค่าเช่าพื้นที่และอาคารในเขตลานจอดเครื่องบิน ณ ท่าอากาศยานกรุงเทพและท่าอากาศยานสุวรรณภูมิที่เพิ่มขึ้นรวมจำนวน 7.1 ล้านบาท บวกกับเงินเดือนและค่าใช้จ่ายพนักงานเพิ่มขึ้น 7.1 ล้านบาท และค่าเสื่อมราคาเพิ่มขึ้น 5.6 ล้านบาท
ขณะที่ค่าใช้จ่ายในการบริหารจำนวน 73.3 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 7.2 ล้านบาท หรือ 10.8% จากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน โดยเป็นการเพิ่มขึ้นของเงินเดือนและค่าใช้จ่ายพนักงานเพิ่มขึ้น 4.1 ล้านบาท ค่าเสื่อมราคาเพิ่มขึ้น 3.4 ล้านบาท และภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างเพิ่มขึ้น 2.6 ล้านบาท
พร้อมกันนี้ ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทครั้งที่ 3/2551 เมื่อวันที่ 8 สิงหาคม 2551 ได้มีมติอนุมัติการจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลของผลการดำเนินงานหกเดือนแรกของปี 2551 ให้แก่ผู้ถือหุ้นที่มีรายชื่อในสมุดทะเบียนพักการโอนหุ้น ณ วันที่ 25 สิงหาคม 51 ในอัตราหุ้นละ 0.15 บาท แก่ผู้ถือหุ้นจำนวน 509,997,325 หุ้น รวมเป็นเงิน 76,499,598.75 บาท และกำหนดจ่ายเงินปันผลในวันที่ 5 กันยายน 2551
นอกจากนี้ ที่ประชุมฯ ยังได้อนุมัติให้บริษัทซื้อหุ้นในบริษัท เจพี-วัน แอสเซ็ท จำกัด (JP-One) เพิ่มเติมจากกลุ่ม Siam Investment Fund และ Finansa Fund Management Limited จำนวน 2.55 ล้านหุ้น คิดเป็น 42.5% ในราคารวมทั้งสิ้น 300.9 ล้านบาท ของจำนวนหุ้นจดทะเบียนทั้งหมด ทำให้สัดส่วนการถือหุ้น JP-One เพิ่มจาก 50% เป็น 92.5% โดยใช้เงินกู้จากสถาบันการเงินในวงเงินไม่เกิน 220 ล้านบาท
รวมทั้งอนุมัติให้ขายที่ดินของบริษัทที่ลาดกระบัง เนื้อที่รวมทั้งสิ้น 16 ไร่ 3 งาน 70 ตารางวา ให้แก่บริษัท มนต์ ทรานสปอร์ต จำกัด ในราคา 100 ล้านบาท และแต่งตั้งนายสุมน สุรทิณฑ์ เดำรงตำแหน่งกรรมการกำหนดค่าตอบแทน โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 8 สิงหาคม 2551 รวมถึงรับทราบการลาออกจากการเป็นกรรมการบริษัทของพลอากาศโท ชนะ อยู่สถาพร และนายดนัย นานาสมบัติ โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 5 สิงหาคม 2551
ขณะเดียวกัน ได้รับทราบการที่บริษัทและบริษัท ไทยเชื้อเพลิงการบิน จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของบริษัทถูกฟ้องร้องดำเนินดคีโดยชุมชนบริเวณคลังน้ำมันอากาศยานสุวรรณภูมิ จากการที่ชุมชนอ้างว่าได้รับความเดือดร้อนจากกลิ่นไอระเหยน้ำมันจากคลังน้ำมันอากาศยานของบริษัทที่ส่งผ่านท่อ โดยเรียกร้องค่าเสียหายเป็นจำนวนเงินประมาณ 15.3 ล้านบาท (ไม่รวมดอกเบี้ย) ซึ่งขณะนี้คคีอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาล
หม่อมราชวงศ์ศุภดิศ ดิศกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท บริการเชื้อเพลิงการบินกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BAFS กล่าวถึง ผลการดำเนินงานประจำไตรมาส 2 สิ้นสุด ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2551 ว่า บริษัทมีกำไรสุทธิ 124.22 ล้านบาท กำไรสุทธิต่อหุ้น 0.24 บาท เทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนกำไรสุทธิ 153.16 ล้านบาท กำไรสุทธิต่อหุ้น 0.33 บาท
ขณะที่ผลงานงวด 6 เดือนแรกกำไรสุทธิรวม 264.99 ล้านบาท กำไรสุทธิต่อหุ้น 0.52 บาท เทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนกำไรสุทธิ 315.72 ล้านบาท กำไรสุทธิต่อหุ้น 0.71 บาท หรือกำไรสุทธิลดลง 50.73 ล้านบาท คิดเป็น 16.07%
โดยไตรมาส 2/51 บริษัทมีรายได้รวม 536.0 ล้านบาท ลดลงจากงวดเดียวกันของปีก่อน 8.5 ล้านบาท หรือ 1.6% แบ่งเป็นรายได้ค่าบริการ 528.2 ล้านบาท ลดลง 0.1% รายได้ค่าเช่า 5.0 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 0.4 ล้านบาท หรือ 8.8% และรายได้อื่น 2.7 ล้านบาท ลดลงจากปีก่อน 9.7 ล้านบาท หรือ 77.8%
ด้านค่าใช้จ่ายนั้น บริษัทมีต้นทุนการให้บริการรวมทั้งสิ้น 224.9 ล้านบาท โดยต้นทุนการให้บริการเพิ่มขึ้นจากปีก่อน 21.7 ล้านบาท หรือ 10.7% เกิดจากสาเหตุหลักๆ คือ ค่าเช่าระบบท่อส่งเชื้อเพลิงเพื่อดำเนินกิจการให้บริการเติมน้ำมันเชื้อเพลิงแก่อากาศยาน ณ ท่าอากาศยานกรุงเทพ และค่าเช่าพื้นที่และอาคารในเขตลานจอดเครื่องบิน ณ ท่าอากาศยานกรุงเทพและท่าอากาศยานสุวรรณภูมิที่เพิ่มขึ้นรวมจำนวน 7.1 ล้านบาท บวกกับเงินเดือนและค่าใช้จ่ายพนักงานเพิ่มขึ้น 7.1 ล้านบาท และค่าเสื่อมราคาเพิ่มขึ้น 5.6 ล้านบาท
ขณะที่ค่าใช้จ่ายในการบริหารจำนวน 73.3 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 7.2 ล้านบาท หรือ 10.8% จากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน โดยเป็นการเพิ่มขึ้นของเงินเดือนและค่าใช้จ่ายพนักงานเพิ่มขึ้น 4.1 ล้านบาท ค่าเสื่อมราคาเพิ่มขึ้น 3.4 ล้านบาท และภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างเพิ่มขึ้น 2.6 ล้านบาท
พร้อมกันนี้ ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทครั้งที่ 3/2551 เมื่อวันที่ 8 สิงหาคม 2551 ได้มีมติอนุมัติการจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลของผลการดำเนินงานหกเดือนแรกของปี 2551 ให้แก่ผู้ถือหุ้นที่มีรายชื่อในสมุดทะเบียนพักการโอนหุ้น ณ วันที่ 25 สิงหาคม 51 ในอัตราหุ้นละ 0.15 บาท แก่ผู้ถือหุ้นจำนวน 509,997,325 หุ้น รวมเป็นเงิน 76,499,598.75 บาท และกำหนดจ่ายเงินปันผลในวันที่ 5 กันยายน 2551
นอกจากนี้ ที่ประชุมฯ ยังได้อนุมัติให้บริษัทซื้อหุ้นในบริษัท เจพี-วัน แอสเซ็ท จำกัด (JP-One) เพิ่มเติมจากกลุ่ม Siam Investment Fund และ Finansa Fund Management Limited จำนวน 2.55 ล้านหุ้น คิดเป็น 42.5% ในราคารวมทั้งสิ้น 300.9 ล้านบาท ของจำนวนหุ้นจดทะเบียนทั้งหมด ทำให้สัดส่วนการถือหุ้น JP-One เพิ่มจาก 50% เป็น 92.5% โดยใช้เงินกู้จากสถาบันการเงินในวงเงินไม่เกิน 220 ล้านบาท
รวมทั้งอนุมัติให้ขายที่ดินของบริษัทที่ลาดกระบัง เนื้อที่รวมทั้งสิ้น 16 ไร่ 3 งาน 70 ตารางวา ให้แก่บริษัท มนต์ ทรานสปอร์ต จำกัด ในราคา 100 ล้านบาท และแต่งตั้งนายสุมน สุรทิณฑ์ เดำรงตำแหน่งกรรมการกำหนดค่าตอบแทน โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 8 สิงหาคม 2551 รวมถึงรับทราบการลาออกจากการเป็นกรรมการบริษัทของพลอากาศโท ชนะ อยู่สถาพร และนายดนัย นานาสมบัติ โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 5 สิงหาคม 2551
ขณะเดียวกัน ได้รับทราบการที่บริษัทและบริษัท ไทยเชื้อเพลิงการบิน จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของบริษัทถูกฟ้องร้องดำเนินดคีโดยชุมชนบริเวณคลังน้ำมันอากาศยานสุวรรณภูมิ จากการที่ชุมชนอ้างว่าได้รับความเดือดร้อนจากกลิ่นไอระเหยน้ำมันจากคลังน้ำมันอากาศยานของบริษัทที่ส่งผ่านท่อ โดยเรียกร้องค่าเสียหายเป็นจำนวนเงินประมาณ 15.3 ล้านบาท (ไม่รวมดอกเบี้ย) ซึ่งขณะนี้คคีอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาล
