ธปท.เตือนครึ่งปีหลัง แบงก์พาณิชย์ต้องเตรียมความพร้อมรับมือความผันผวนการเงินโลก คาด การปล่อยสินเชื่อชะลอตัว-คุณภาพหนี้แย่ลง ส่วนความคืบหน้ามาสเตอร์แพลน 2 เน้นควบรวมแบงก์ พร้อมเปิดช่องแบงก์ต่างชาติ เพิ่มสาขา-ตู้เอทีเอ็ม และใบอนุญาตแบงก์ใหม่
วันนี้ (6 ส.ค.) นายบัณฑิต นิจถาวร รองผู้ว่าการด้านเสถียรภาพสถาบันการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยภายหลังหารือกับผู้บริหารสถาบันการเงินต่างประเทศ 21 แห่ง โดยระบุว่า แบงก์ชาติได้มีการหารือเพื่อประเมินภาวะแวดล้อมในต่างประเทศ โดยพบว่าในช่วงครึ่งปีหลังตลาดการเงินโลกมีความไม่แน่นอน เป็นผลกระทบจากราคาน้ำมันและเงินเฟ้อที่สูงขึ้น ทำให้เศรษฐกิจโลกมีแนวโน้มชะลอตัวลงและมีผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยมากขึ้น
นายบัณฑิต เตือนสถาบันการเงินให้พิจารณาความเสี่ยงด้านสภาพคล่อง และเครดิตในการทำธุรกิจ ซึ่งจะมีผลให้อัตราการปล่อยสินเชื่อของธนาคารพาณิชย์อาจชะลอลง รวมทั้งคุณภาพหนี้อาจจะแย่ลงจากที่ช่วงครึ่งปีแรกอัตราการขยายตัวของสินเชื่ออยู่ที่ร้อยละ 10 มีหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (เอ็นพีแอล) ลดลงเหลือร้อยละ 6.4 ของสินเชื่อรวม ขณะที่ธนาคารพาณิชย์ทำกำไรได้ 57,000 ล้านบาท ในครึ่งปีแรก
รองผู้ว่าการ ธปท.กล่าวด้วยว่า สถาบันการเงินต่างชาติได้สอบถามถึงความคืบหน้าของแผนพัฒนาระบบสถาบันการเงินฉบับที่ 2 หรือมาสเตอร์แพลน 2 ที่จะประกาศใช้ในปี 2552 ซึ่งจะเปิดให้ธนาคารพาณิชย์ต่างชาติมีบทบาทในการทำธุรกิจในไทยมากขึ้น โดยจะเพิ่มบริการทั้งด้านสาขา ตู้เอทีเอ็ม รวมทั้งเพิ่มจำนวนธนาคารพาณิชย์แห่งใหม่ ซึ่งดำเนินธุรกิจที่ระบบธนาคารพาณิชย์ไทยยังขาดอยู่ ซึ่งท่าทีของธนาคารพาณิชย์ต่างชาติมีปฏิกิริยาตอบรับในทางที่ดี พร้อมกับย้ำว่า มาสเตอร์แพลน ฉบับ 2 ธปท.จะส่งเสริมให้ธนาคารพาณิชย์มีขนาดใหญ่ขึ้น เช่น ส่งเสริมการควบรวมกิจการแบบสมัครใจ ลดบทบาทของภาครัฐในการเข้าไปถือหุ้นหรือเป็นเจ้าของธนาคารพาณิชย์
“เท่าที่ประเมินระบบสถาบันการเงินของไทยมีความมั่นคงสูงอยู่ในเกณฑ์ที่ดีและมีความเข้มแข็งสามารถรับมือกับความผันผวนจากปัจจัยต่างประเทศได้ แต่สถาบันการเงินจะต้องมีการประเมินภาวะแวดล้อมในต่างประเทศซึ่งยังมีความไม่แน่นอนและอาจเป็นข้อจำกัดในการทำธุรกิจในอนาคต ดังนั้น การทำธุรกิจของสถาบันการเงินจะท้าทายมากขึ้น แต่เตือนว่าระวังความผันผวนที่จะเกิดมากขึ้นเป็นระยะ” นายบัณฑิต กล่าวสรุปทิ้งท้าย
วันนี้ (6 ส.ค.) นายบัณฑิต นิจถาวร รองผู้ว่าการด้านเสถียรภาพสถาบันการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยภายหลังหารือกับผู้บริหารสถาบันการเงินต่างประเทศ 21 แห่ง โดยระบุว่า แบงก์ชาติได้มีการหารือเพื่อประเมินภาวะแวดล้อมในต่างประเทศ โดยพบว่าในช่วงครึ่งปีหลังตลาดการเงินโลกมีความไม่แน่นอน เป็นผลกระทบจากราคาน้ำมันและเงินเฟ้อที่สูงขึ้น ทำให้เศรษฐกิจโลกมีแนวโน้มชะลอตัวลงและมีผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยมากขึ้น
นายบัณฑิต เตือนสถาบันการเงินให้พิจารณาความเสี่ยงด้านสภาพคล่อง และเครดิตในการทำธุรกิจ ซึ่งจะมีผลให้อัตราการปล่อยสินเชื่อของธนาคารพาณิชย์อาจชะลอลง รวมทั้งคุณภาพหนี้อาจจะแย่ลงจากที่ช่วงครึ่งปีแรกอัตราการขยายตัวของสินเชื่ออยู่ที่ร้อยละ 10 มีหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (เอ็นพีแอล) ลดลงเหลือร้อยละ 6.4 ของสินเชื่อรวม ขณะที่ธนาคารพาณิชย์ทำกำไรได้ 57,000 ล้านบาท ในครึ่งปีแรก
รองผู้ว่าการ ธปท.กล่าวด้วยว่า สถาบันการเงินต่างชาติได้สอบถามถึงความคืบหน้าของแผนพัฒนาระบบสถาบันการเงินฉบับที่ 2 หรือมาสเตอร์แพลน 2 ที่จะประกาศใช้ในปี 2552 ซึ่งจะเปิดให้ธนาคารพาณิชย์ต่างชาติมีบทบาทในการทำธุรกิจในไทยมากขึ้น โดยจะเพิ่มบริการทั้งด้านสาขา ตู้เอทีเอ็ม รวมทั้งเพิ่มจำนวนธนาคารพาณิชย์แห่งใหม่ ซึ่งดำเนินธุรกิจที่ระบบธนาคารพาณิชย์ไทยยังขาดอยู่ ซึ่งท่าทีของธนาคารพาณิชย์ต่างชาติมีปฏิกิริยาตอบรับในทางที่ดี พร้อมกับย้ำว่า มาสเตอร์แพลน ฉบับ 2 ธปท.จะส่งเสริมให้ธนาคารพาณิชย์มีขนาดใหญ่ขึ้น เช่น ส่งเสริมการควบรวมกิจการแบบสมัครใจ ลดบทบาทของภาครัฐในการเข้าไปถือหุ้นหรือเป็นเจ้าของธนาคารพาณิชย์
“เท่าที่ประเมินระบบสถาบันการเงินของไทยมีความมั่นคงสูงอยู่ในเกณฑ์ที่ดีและมีความเข้มแข็งสามารถรับมือกับความผันผวนจากปัจจัยต่างประเทศได้ แต่สถาบันการเงินจะต้องมีการประเมินภาวะแวดล้อมในต่างประเทศซึ่งยังมีความไม่แน่นอนและอาจเป็นข้อจำกัดในการทำธุรกิจในอนาคต ดังนั้น การทำธุรกิจของสถาบันการเงินจะท้าทายมากขึ้น แต่เตือนว่าระวังความผันผวนที่จะเกิดมากขึ้นเป็นระยะ” นายบัณฑิต กล่าวสรุปทิ้งท้าย