ตลาดหลักทรัพย์ฯชี้ปรับโครงสร้างบริหารช่วยลดต้นทุนดำเนินงาน 40% เหตุเพิ่มรายได้จากสินค้าใหม่ –ลดความซ้ำซ้อนดำเนินงาน ส่งผลลูกค้าใช้บริการราคาต่ำลงตามต้นทุนดำเนินงาน คาดสรุปจัดสรรเงินกองทุนตลาดหลักทรัพย์ พ.ย.นี้ รอบีซีจีศึกษา เตรียมตั้งบอร์ดกองทุนเพื่อพัฒนาตลาดทุน
นางภัทรียา เบญจพลชัย กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เปิดเผยว่า จากการปรับโครงสร้างองค์กรใหม่ของตลาดหลักทรัพย์ฯคาดจะช่วยลดต้นทุนในการดำเนินงานได้ 40% ใน 5 ปีข้างหน้า 2556 ทำให้มีต้นทุนการดำเนินงานเหลือ 60% จากเดิมที่มี 100% หรือลดลง 40% เนื่องจาก 2 ส่วน คือ การเพิ่มรายได้จากสินค้าใหม่ เช่น ตลาดอนุพันธ์ ตลาดตราสารหนี้ และการออกสินค้าอื่นๆ ซึ่งตั้งเป้าคิดเป็น 25% ของรายได้รวม จากปัจจุบันที่มีรายได้จากอนุพันธ์เพียง 1% และขณะนี้ยังไม่รับรู้รายได้จากตราสารหนี้ และรายได้จากบริษัทต่างประเทศที่เข้ามาจดทะเบียน5%
สำหรับส่วนที่ 2 คือการลดต้นทุนการดำเนินงานจากที่มีการจัดกลุ่มสายงานเดียวกันมีการทำงานชัดเจน จากเดิมที่ซับซ้อนกัน เช่น ในหน่วยงานที่ติดต่อกับบริษัทจดทะเบียน จากเดิมที่แต่ละสายงานจะเข้าไปพบ บจ.คนละครั้ง ปรับใหม่จะเข้าไปพบครั้งเดียว ทำให้เพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงาน ลดต้นทุนในการปฏิบัติหน้าที่ และมีการคิดค่าบริหารที่ต่ำลงตามต้นทุนที่เกิดขึ้น ส่วนจะลดเท่าไรนั้นต้องมีการศึกษาก่อน
ทั้งนี้ เป้าหมายในการปรับโครงสร้างการดำเนินงานของตลาดนั้นมีเป้าหมายที่จะให้เกิดประโยชน์และสร้างความพึงพอใจแก่ลูกค้าในด้านการให้บริการ และเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงานของตลาดหลักทรัพย์ฯ ซึ่งการเพิ่มรายได้ของตลาดหลักทรัพย์จะไม่ได้เป็นการเก็บค่าธรรมเนียมเพิ่มขึ้น ส่วนงานด้านกำกับและบริหารความเสี่ยงนั้น จะลดการทำงานที่ซ้ำซ้อน
อย่างไรก็ตาม หากตลาดหลักทรัพย์ฯพบความผิดปกติในการซื้อขาย ก็จะส่งเรื่องทางสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.)ดูแล ตรวจสอบ ทำให้การทำงานของตลาดหลักทรัพย์ฯ รวดเร็ว ขึ้น จากพระราชบัญญัติ(พ.ร.บ.) ก็ไม่การมีแยกการดำเนินงานบางส่วน เช่น เรื่องการรายงานรายการเกี่ยวโยง และการความรวบกิจการ (M&A) ซึ่งตลาดหลักทรัพย์ฯทำหน้าที่ให้มีการเปิดเผยข้อมูล
นางภัทรียา กล่าวว่า ในการแยกเงินกองทุนของตลาดหลักทรัพย์ฯที่มีประมาณ 10,000 ล้านบาท นั้น ขณะนี้ทาง บอสตัน คอนเซาท์ติ้งกรุ๊ป (บีซีจี)อยู่ระหว่างการศึกษาว่าจะแบ่งสัดส่วนเงินกองทุน 2 ส่วนเพื่อใช้ในการดำเนินธุรกิจของตลาดหลักทรัพย์ และเงินที่ใช้ในพัฒนาตลาดทุนที่เหมาะสมต้อง คาดว่าจะสรุปได้พฤษจิกายนนี้ ขณะที่การพัฒนาตลาดทุนนั้น จะตั้งบอร์ดขึ้นมาอีก 1 ชุด โดยจะเป็นผู้ที่อยู่ในอุตสาหกรรมตลาดทุน เพื่อที่จะเข้ามาดูแลว่าในส่วนงานกองทุนเพื่อการพัฒนาตลาดทุนทำงานในการพัฒนาตลาดทุนจริงๆ ซึ่งจะเป็นบอร์ดคนละส่วนของบอร์ดตลาด แต่ก็จะเชื่อมโยงกัน
นางภัทรียา เบญจพลชัย กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เปิดเผยว่า จากการปรับโครงสร้างองค์กรใหม่ของตลาดหลักทรัพย์ฯคาดจะช่วยลดต้นทุนในการดำเนินงานได้ 40% ใน 5 ปีข้างหน้า 2556 ทำให้มีต้นทุนการดำเนินงานเหลือ 60% จากเดิมที่มี 100% หรือลดลง 40% เนื่องจาก 2 ส่วน คือ การเพิ่มรายได้จากสินค้าใหม่ เช่น ตลาดอนุพันธ์ ตลาดตราสารหนี้ และการออกสินค้าอื่นๆ ซึ่งตั้งเป้าคิดเป็น 25% ของรายได้รวม จากปัจจุบันที่มีรายได้จากอนุพันธ์เพียง 1% และขณะนี้ยังไม่รับรู้รายได้จากตราสารหนี้ และรายได้จากบริษัทต่างประเทศที่เข้ามาจดทะเบียน5%
สำหรับส่วนที่ 2 คือการลดต้นทุนการดำเนินงานจากที่มีการจัดกลุ่มสายงานเดียวกันมีการทำงานชัดเจน จากเดิมที่ซับซ้อนกัน เช่น ในหน่วยงานที่ติดต่อกับบริษัทจดทะเบียน จากเดิมที่แต่ละสายงานจะเข้าไปพบ บจ.คนละครั้ง ปรับใหม่จะเข้าไปพบครั้งเดียว ทำให้เพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงาน ลดต้นทุนในการปฏิบัติหน้าที่ และมีการคิดค่าบริหารที่ต่ำลงตามต้นทุนที่เกิดขึ้น ส่วนจะลดเท่าไรนั้นต้องมีการศึกษาก่อน
ทั้งนี้ เป้าหมายในการปรับโครงสร้างการดำเนินงานของตลาดนั้นมีเป้าหมายที่จะให้เกิดประโยชน์และสร้างความพึงพอใจแก่ลูกค้าในด้านการให้บริการ และเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงานของตลาดหลักทรัพย์ฯ ซึ่งการเพิ่มรายได้ของตลาดหลักทรัพย์จะไม่ได้เป็นการเก็บค่าธรรมเนียมเพิ่มขึ้น ส่วนงานด้านกำกับและบริหารความเสี่ยงนั้น จะลดการทำงานที่ซ้ำซ้อน
อย่างไรก็ตาม หากตลาดหลักทรัพย์ฯพบความผิดปกติในการซื้อขาย ก็จะส่งเรื่องทางสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.)ดูแล ตรวจสอบ ทำให้การทำงานของตลาดหลักทรัพย์ฯ รวดเร็ว ขึ้น จากพระราชบัญญัติ(พ.ร.บ.) ก็ไม่การมีแยกการดำเนินงานบางส่วน เช่น เรื่องการรายงานรายการเกี่ยวโยง และการความรวบกิจการ (M&A) ซึ่งตลาดหลักทรัพย์ฯทำหน้าที่ให้มีการเปิดเผยข้อมูล
นางภัทรียา กล่าวว่า ในการแยกเงินกองทุนของตลาดหลักทรัพย์ฯที่มีประมาณ 10,000 ล้านบาท นั้น ขณะนี้ทาง บอสตัน คอนเซาท์ติ้งกรุ๊ป (บีซีจี)อยู่ระหว่างการศึกษาว่าจะแบ่งสัดส่วนเงินกองทุน 2 ส่วนเพื่อใช้ในการดำเนินธุรกิจของตลาดหลักทรัพย์ และเงินที่ใช้ในพัฒนาตลาดทุนที่เหมาะสมต้อง คาดว่าจะสรุปได้พฤษจิกายนนี้ ขณะที่การพัฒนาตลาดทุนนั้น จะตั้งบอร์ดขึ้นมาอีก 1 ชุด โดยจะเป็นผู้ที่อยู่ในอุตสาหกรรมตลาดทุน เพื่อที่จะเข้ามาดูแลว่าในส่วนงานกองทุนเพื่อการพัฒนาตลาดทุนทำงานในการพัฒนาตลาดทุนจริงๆ ซึ่งจะเป็นบอร์ดคนละส่วนของบอร์ดตลาด แต่ก็จะเชื่อมโยงกัน
