xs
xsm
sm
md
lg

KK คงเป้าสินเชื่อสวนเศรษฐกิจ หวังน้ำมันลงกระตุ้นยอดซื้อรถ

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

เกียรตินาคินทบทวนแผนทั้งปี ยันเป้าหมายสินเชื่อเดิมที่โต 30% แม้ครึ่งปีหลังอาจชะลอตัวบ้างตามภาวะเศรษฐกิจโดยรวม แต่ราคาน้ำมันที่เริ่มลดลงจะช่วยกระตุ้นยอดซื้อรถยนต์เพิ่ม ขณะที่เงินฝากยังขยายตัวได้ระดับ 20% พร้อมประกาศจ่ายปันผลครึ่งปีแรก 1 บาท แจงเหตุกำไรไตรมาส 2 หด มาจากค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นหลังขยายสาขา เผยกลยุทธครึ่งปีหลังยังเน้นสินเชื่อเช่าซื้อ และพัฒนาสินค้าบริการเพื่อเป็นทางเลือกให้ลูกค้าหลังมีการประกาศใช้พ.ร.บ.คุ้มครองเงินฝาก

นายธวัชไชย สุทธิกิจพิศาล กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารเกียรตินาคิน จำกัด (มหาชน) หรือ KK เปิดเผยว่า จากการประเมินเบื้องต้นเพื่อวัดระดับผลการดำเนินงานของธนาคารโดยรวม เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาธนาคารคาดว่าสินเชื่อรวมจะขยายตัวได้ราว 30% โดยครึ่งปีแรกมีอัตราการเติบโตที่ 18% ซึ่งคาดว่าครึ่งปีหลังจะยังคงเติบโตได้ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ แต่อาจจะเป็นการเติบโตที่ชะลอตัวกว่าครึ่งปีแรก ซึ่งเป็นไปตามภาวะเศรษฐกิจโดยรวม ขณะที่เงินฝาก คาดว่าจะโตที่ 20% และครึ่งปีแรกเติบโตได้ตามเป้าหมายราว 20% แล้ว แต่คาดว่าครึ่งปีหลัง หากมีการประกาศใช้ พ.ร.บ.สถาบันคุ้มครองเงินฝากแล้ว ธนาคารคงเน้นในเรื่องการนำเสนอสินค้าบริการที่เป็นทางเลือกให้กับผู้ฝากเงินมากขึ้น

ส่วนสินทรัพย์นั้นก็สามารถเติบโตได้ตามเป้าหมายแล้วเช่นกัน คืออยู่ที่ 102,607 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นจากสิ้นปี 2550 ราว 15% ส่วนการดำเนินงานของกลุ่มธุรกิจนั้น สินเชื่อเช่าซื้อเติบโตเพิ่มขึ้น 28% หรืออยู่ที่ 54,839 ล้านบาท โดยเป็นยอดที่อนุมัติใหม่ในครึ่งปีแรกราว 19,500 ล้านบาท ส่วนสินเชื่อเพื่อพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยมียอดรวมอยู่ที่ 13,932 ล้านบาท ลดลงจากสิ้นปี 2550 ราว 8% สินเชื่อทั่วไปมีจำนวน 8,623 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 12% ส่วนเงินฝากและเงินกู้ยืม ขยายตัวราว 20% หรืออยู่ที่ 84,021 ล้านบาท โดยมีอัตราส่วนเงินให้สินเชื่อต่อเงินฝากและเงินกู้ยืมเท่ากับ 100.1% ลดลงจากสิ้นปี 2550 ที่อยู่ที่ระดับ 101.9% โดยมีส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยหลังหักสำรอง (Net Interest Margin) อยู่ที่ 4% ส่วนหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้หลังหักสำรองอยู่ที่ 6.80% ลดลงจากสิ้นปี ที่ระดับ 9.17%

ส่วนกลยุทธ์ของธนาคารในครึ่งปีหลังนี้ จะเน้นในด้านการบริหารจัดการต้นทุนทางการเงิน การบริหารคุณภาพของสินทรัพย์ ตลอดจนการบริหารความเสี่ยงที่มีประสิทธิภาพ เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจและปัจจัยหลายๆด้าน ยังส่งผลกระทบต่อการดำเนินธุรกิจในภาพรวม นอกจากนี้ยังมีการพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการ เพื่อสร้างความแตกต่างให้เป็นทางเลือกสำหรับลูกค้าอีกด้วย

นายธวัชไชย กล่าวอีกว่า ในครึ่งปีหลังธนาคารจะยังให้ความสำคัญกับสินเชื่อเช่าซื้อเป็นหลัก โดยจากปัญหาเรื่องของราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้นนั้นทำให้ส่งผลกระทบต่อความมั่นใจของผู้บริโภคโดยเฉพาะการที่ราคาน้ำมันดีเซลสูงกว่าเบนซิน เนื่องจากลูกค้าส่วนใหญ่ของธนาคารเป็นรถกระบะ รวมถึงทำให้ยอดขายรถใหม่ชะงักและมีการคืนรถมากขึ้น

"ธนาคารได้ให้พนักงานทำความเข้าใจกับผู้บริโภคมากขึ้นเพื่อไม่ให้ตื่นตระหนกกับเหตุการณ์ต่างๆ และเมื่อ 2 สัปดาห์ที่ผ่านมาปัญหาต่าง ๆ ก็เริ่มมีการคลี่คลายลงไปราคาน้ำมันลงต่ำกว่า 40 บาท ราคารถกระบะที่เคยต่ำลงก็เริ่มดีขึ้นมา แสดงว่าความผันผวนนั้นขึ้นอยู่กับราคาน้ำมันเป็นหลักแต่อย่างไรก็ตามแม้ความผันผวนจะยังมีอยู่มาก แต่ถ้าเศรษฐกิจไม่แย่ดอกเบี้ยไม่ขึ้นมากเกินไปเราก็จะยังคงเป้าหมายสินเชื่อไว้ที่เดิม"

สำหรับผลการดำเนินงานงวด 6 เดือนแรกของปี 2551 นั้น ธนาคารและบริษัทย่อย มีกำไรสุทธิ 764 ล้านบาท ลดลง 1% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากธนาคารมีค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานเพิ่มขึ้น 34% ซึ่งส่วนใหญ่มาจากการรับพนักงานเพิ่มตามการขยายสาขา เพื่อรองรับการขยายตัวของธุรกิจ นอกจากนี้ ตั้งแต่ต้นปีธนาคารเปิดสาขาใหม่จำนวน 5 แห่ง และจะทยอยเปิดอีก 5 แห่งภายในสิ้นปี และที่ประชุมคณะกรรมการ ธนาคารได้อนุมัติให้จ่ายเงินปันผลระหว่างกาลจากผลการดำเนินงานครึ่งปีแรกในอัตราหุ้นละ 1 บาท โดยกำหนดจ่ายเงินปันผลในวันที่ 22 สิงหาคม นี้ และมีเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยงของธนาคารอยู่ที่ 15.48%

นางสาวฐิตินันท์ วัธนเวคิน ประธานสายธุรกิจเงินฝากและการตลาด ธนาคารเกียรตินาคิน กล่าวถึงการเตรียมความพร้อมเพื่อรองรับ พ.ร.บ.สถาบันคุ้มครองเงินฝากว่า ธนาคารได้เตรียมพร้อมเรื่องความเสี่ยงด้านสภาพคล่องมาอย่างต่อเนื่อง โดยจะเน้นการให้บริการที่แตกต่างจากธนาคารอื่น โดยเฉพาะการให้คำแนะนำและเป็นที่ปรึกษาเรื่องการลงทุนให้กับลูกค้าเงินฝากที่ต้องการข้อมูลด้านการออมในลักษณะ Portfolio ตลอดจนการสร้างความสัมพันธ์เพื่อรักษาฐานลูกค้า อาทิ Loyalty Program และ Priority Banking ตลอดจนหาแหล่งเงินทุนที่มิใช่เงินฝาก อาทิ การออกหุ้นกู้ และ Syndicated Loan

ส่วนการขยายฐานเงินฝากนั้น ธนาคารทำการขยายฐานลูกค้าเงินฝาก ทั้งในแง่ของจำนวนบัญชี และวงเงินฝาก ซึ่งปัจจุบันธนาคารมีฐานลูกค้าเงินฝากอยู่ที่ 13,000 บัญชี จากเมื่อปลายปีที่แล้ว ที่มีอยู่ 8,000 บัญชี หรือเพิ่มขึ้นประมาณ 62% โดยตั้งเป้าไว้ว่าจะเพิ่มจำนวนบัญชีให้ได้ราว 15,000 บัญชีในสิ้นปีนี้ โดยเน้นวงเงินขนาดกลางตั้งแต่ 1 แสนบาทขึ้นไป

นอกจากนี้ ในช่วงที่เหลือของปีนี้ธนาคารจะยังคงมีการออกตั๋วแลกเงิน (B/E) อย่างต่อเนื่อง โดยปัจจุบันมีฐานB/E อยู่ที่ 14,000 ล้านาท โดยคาดว่าสิ้นปีนี้จะมียอดB/E อยู่ที่ 20,000 ล้านบาท หรือคิดเป็น 20% ของพอร์ตเงินฝากและกู้ยืม

ทั้งนี้ ลูกค้าที่เข้ามาซื้อ B/E ของธนาคารนั้นส่วนใหญ่จะเป็นลูกค้าใหม่ไม่ได้มาจากลูกค้าจากฐานเงินฝากเดิม ส่วนลูกค้ารายใหญ่ของธนาคารซึ่งมีเงินฝาก 100 ล้านบาทขึ้นไปซึ่งคิดเป็น 15% ของฐานเงินฝากนั้น ขณะนี้ได้เริ่มมีการมองหาช่องทางการกระจายเงินบ้างแล้ว
กำลังโหลดความคิดเห็น