"ลิฟวิ่งแลนด์"มั่นใจเทรดวันแรกนักลงทุนตอบรับที่ดี จากปัจจัยพื้นฐานดี หวั่นสภาพคล่องหุ้นไม่มี เหตุกลุ่มผู้บริหารไม่นำหุ้นออกมา "ภัทรลาภ" ลั่นรายได้ปีนี้โต 100% จากปี 2550 ที่มีรายได้ 869 ล้านบาท กำไรสุทธิ 134 ล้านบาท พร้อมได้รับยกเว้นภาษีอีก 4 ปี
นายภัทรลาภ ทวีวงศ์ ณ อยุธยา กรรมการผู้จัดการ บริษัท ลิฟวิ่งแลนด์ แคปปิตอล จำกัด (มหาชน)หรือ LL เปิดเผยว่า การกลับเข้ามาซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย(ตลท.)ในวันที่ 1 สิงหาคมนี้ ในหมวดพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ หลังจากเข้าไปซื้อกิจการบริษัท นครหลวงเส้นใยสังเคราะห์ จำกัด (มหาชน)และออกจากแผนฟื้นฟูกิจการ ซึ่งเชื่อว่านักลงทุนจะให้การตอบรับที่ดีกับหุ้นของบริษัทเนื่องจาก บริษัทมีปัจจัยพื้นฐานที่ดี มีผลการดำเนินการเติบโตต่อเนื่อง เพราะ ขณะที่บริษัทมีการเสนอขายหุ้นเพิ่มทุนแบบเฉพาะเจาะจง (PP)ในช่วงที่บริษัทยังอยู่ในแผนฟื้นฟูมีนักลงทุนทั่วไปและสถาบันให้ความสนใจเข้ามาซื้อ
ทั้งนี้ บริษัทไม่กังวลว่าจะมีผู้ถือหุ้นนำหุ้นของบริษัทมาขายในวันแรก แต่กังวลในเรื่องสภาพคล่องของหุ้นบริษัท เพราะติดระยะเวลาห้ามซื้อขายหุ้น (ไซเรนท์พีเรียด) ซึ่งมีหุ้นจำนวน 13 ล้านหุ้น ของกลุ่มผู้ถือหุ้นเดิม ที่ไม่ติดไซเรนท์พีเรียด และโดยนโยบายของกลุ่มผู้บริหารของบริษัทก็จะมีการถือหุ้นในระยะยาวให้บริษัทมีการเติบโต
สำหรับ ปัจจุบันบริษัทมีขาดทุนสะสมเหลือ 9 ล้านบาท จากเดิมที่มีผลขาดทุนสะสม 600 ล้านบาท ซึ่งบริษัทจะมีการล้างขาดทุนสะสมหมดในไตรมาส2/51 ทำให้บริษัทสามารถที่จะจ่ายเงินปันผลแก่นักลงทุนได้ โดยมีนโยบายจ่ายเงินปันผลในอัตรา 40% ของกำไรสุทธิ แต่จะจ่ายเมื่อไรนั้นขึ้นอยู่กับการพิจารณาของคณะกรรมการ(บอร์ด) ของบริษัท และบริษัทจะได้รับยกเว้นการเสียภาษีบริษัทนิติบุคคลจากที่มีขาดทุนสะสม (Tak shield)อีก 4 ปี
นายภัทรลาภ กล่าวว่า บริษัทตั้งเป้ารายได้รวมปีนี้จะเพิ่มขึ้น 100% จากปี 2550 ที่มีรายได้รวม 869.77 ล้านบาท มีกำไรสุทธิ 134.20 ล้านบาท เนื่องจากรับรู้รายได้จากโครงการที่อยู่ระหว่างการสร้าง ขายและโอน จำนวน 10 โครงการ มูลค่าโครงการ และมีโครงการใหม่อีก 8 โครงการ มูลค่าโครงการ2,700 ล้านบาท ที่อยู่ระหว่างการดำเนินการก่อสร้างที่จะมีการทยอยเปิดตัวในไตรมาส3-4/51 และจะมีการับรู้รายได้บางส่วนในปีนี้ นอกจากนี้บริษัทมีโครงการที่อยู่ระหว่างการศึกษาที่จะมีการพัฒนาเพิ่มขึ้นอีกในอี 2552และ 2553 อีก
"ปัจจุบันบริษัทมีโครงการภายใต้การบริหารและพัฒนาจำนวน 18 โครงการ ซึ่งคาดว่าจะรับรู้รายได้ทั้งจากโครงการปัจจุบันและโครงการระหว่างพัฒนาในระยะ 3 ปี คิดเป็นมูลค่ารวม 4,134.57 ล้านบาท แบ่งเป็นรับรู้ในปี 2551 จำนวน 1,867.62 ล้านบาท ปี 2552 จำนวน 1,384.31 ล้านบาท และปี 2553 จำนวน 882.64 ล้านบาท "นายภัทรลาภ กล่าว
ปัจจุบันบริษัทมีทุนจดทะเบียนที่ยังไม่เรียกชำระอีก 235 ล้านหุ้น ซึ่งขณะนี้บริษัทยังไม่มีแผนที่จะมีการเพิ่มทุน ยกเว้นบริษัทมองว่าจะมีโครงการที่ลงทุนเพิ่มบริษัทก็จะมีการระดมทุน
นายภัทรลาภ ทวีวงศ์ ณ อยุธยา กรรมการผู้จัดการ บริษัท ลิฟวิ่งแลนด์ แคปปิตอล จำกัด (มหาชน)หรือ LL เปิดเผยว่า การกลับเข้ามาซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย(ตลท.)ในวันที่ 1 สิงหาคมนี้ ในหมวดพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ หลังจากเข้าไปซื้อกิจการบริษัท นครหลวงเส้นใยสังเคราะห์ จำกัด (มหาชน)และออกจากแผนฟื้นฟูกิจการ ซึ่งเชื่อว่านักลงทุนจะให้การตอบรับที่ดีกับหุ้นของบริษัทเนื่องจาก บริษัทมีปัจจัยพื้นฐานที่ดี มีผลการดำเนินการเติบโตต่อเนื่อง เพราะ ขณะที่บริษัทมีการเสนอขายหุ้นเพิ่มทุนแบบเฉพาะเจาะจง (PP)ในช่วงที่บริษัทยังอยู่ในแผนฟื้นฟูมีนักลงทุนทั่วไปและสถาบันให้ความสนใจเข้ามาซื้อ
ทั้งนี้ บริษัทไม่กังวลว่าจะมีผู้ถือหุ้นนำหุ้นของบริษัทมาขายในวันแรก แต่กังวลในเรื่องสภาพคล่องของหุ้นบริษัท เพราะติดระยะเวลาห้ามซื้อขายหุ้น (ไซเรนท์พีเรียด) ซึ่งมีหุ้นจำนวน 13 ล้านหุ้น ของกลุ่มผู้ถือหุ้นเดิม ที่ไม่ติดไซเรนท์พีเรียด และโดยนโยบายของกลุ่มผู้บริหารของบริษัทก็จะมีการถือหุ้นในระยะยาวให้บริษัทมีการเติบโต
สำหรับ ปัจจุบันบริษัทมีขาดทุนสะสมเหลือ 9 ล้านบาท จากเดิมที่มีผลขาดทุนสะสม 600 ล้านบาท ซึ่งบริษัทจะมีการล้างขาดทุนสะสมหมดในไตรมาส2/51 ทำให้บริษัทสามารถที่จะจ่ายเงินปันผลแก่นักลงทุนได้ โดยมีนโยบายจ่ายเงินปันผลในอัตรา 40% ของกำไรสุทธิ แต่จะจ่ายเมื่อไรนั้นขึ้นอยู่กับการพิจารณาของคณะกรรมการ(บอร์ด) ของบริษัท และบริษัทจะได้รับยกเว้นการเสียภาษีบริษัทนิติบุคคลจากที่มีขาดทุนสะสม (Tak shield)อีก 4 ปี
นายภัทรลาภ กล่าวว่า บริษัทตั้งเป้ารายได้รวมปีนี้จะเพิ่มขึ้น 100% จากปี 2550 ที่มีรายได้รวม 869.77 ล้านบาท มีกำไรสุทธิ 134.20 ล้านบาท เนื่องจากรับรู้รายได้จากโครงการที่อยู่ระหว่างการสร้าง ขายและโอน จำนวน 10 โครงการ มูลค่าโครงการ และมีโครงการใหม่อีก 8 โครงการ มูลค่าโครงการ2,700 ล้านบาท ที่อยู่ระหว่างการดำเนินการก่อสร้างที่จะมีการทยอยเปิดตัวในไตรมาส3-4/51 และจะมีการับรู้รายได้บางส่วนในปีนี้ นอกจากนี้บริษัทมีโครงการที่อยู่ระหว่างการศึกษาที่จะมีการพัฒนาเพิ่มขึ้นอีกในอี 2552และ 2553 อีก
"ปัจจุบันบริษัทมีโครงการภายใต้การบริหารและพัฒนาจำนวน 18 โครงการ ซึ่งคาดว่าจะรับรู้รายได้ทั้งจากโครงการปัจจุบันและโครงการระหว่างพัฒนาในระยะ 3 ปี คิดเป็นมูลค่ารวม 4,134.57 ล้านบาท แบ่งเป็นรับรู้ในปี 2551 จำนวน 1,867.62 ล้านบาท ปี 2552 จำนวน 1,384.31 ล้านบาท และปี 2553 จำนวน 882.64 ล้านบาท "นายภัทรลาภ กล่าว
ปัจจุบันบริษัทมีทุนจดทะเบียนที่ยังไม่เรียกชำระอีก 235 ล้านหุ้น ซึ่งขณะนี้บริษัทยังไม่มีแผนที่จะมีการเพิ่มทุน ยกเว้นบริษัทมองว่าจะมีโครงการที่ลงทุนเพิ่มบริษัทก็จะมีการระดมทุน