รอยเตอร์ / หนังสือพิมพ์สากล – หลังหุ้นจีนตกลงอย่างหนักในช่วงครึ่งปีที่ผ่านมา ล่าสุดทางการจีนได้แสดงความเด็ดเดี่ยวที่จะเข้าช่วยเหลือตลาดหลักทรัพย์ ลดภาษีอากรแสตมป์ที่เคยทำรายได้อย่างมหาศาลในจีนในปีที่ผ่านมาลง นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่มองว่ามาตรการนี้เป็นปัจจัยบวกอย่างยิ่ง สำหรับการเรียกความเชื่อมั่นของผู้ลงทุนในตลาดที่กำลังซบเซา
นายกรัฐมนตรีจีนเวิน เจียเป่าได้เป็นประธานในการประชุมคณะรัฐมนตรีในวันพฤหัสบดี (24 เม.ย.) โดยได้ระบุว่าจะมีการผลักดันศักยภาพของกลไกตลาด อีกทั้งรักษาเสถียรภาพและการพัฒนาตลาดทุนเอาไว้ โดยที่ประชุมคณะรัฐมนตรีได้ระบุว่า ตลาดทุนได้กลายมาเป็นส่วนหนึ่งที่สำคัญในระบบ และมีส่วนในการช่วยพัฒนาเศรษฐกิจ ทว่าตลาดทุนในจีนนั้นเพิ่งถือกำเนิดมาได้ไม่นาน ยังมีอีกหลายด้านที่ยังมีประสบการณ์ไม่เพียงพอ และจะต้องทำการปรับปรุงให้ดีขึ้น ดังนั้นการจัดโครงสร้าง ความโปร่งใส ศักยภาพที่ดี และความปลอดภัยเป็นภาระหน้าที่ระยะยาวที่จะต้องผลักดันในตลาดทุน
โดยก่อนหน้านี้เพียงหนึ่งวัน กระทรวงการคลังและกรมภาษีแห่งชาติจีนได้ประกาศว่า ตั้งแต่วันที่ 24 เม.ย. เป็นต้นไป ให้ทำการลดภาษีอากรแสตมป์ในการซื้อขายหุ้นจาก 0.3% ลงมาเหลือ 0.1% ซึ่งมาตรการนี้นับเป็นมาตรการที่ 2 ต่อจากการให้ลดการถือหุ้นไซเลนซ์ พีเรียดในมือลง ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความเด็ดเดี่ยวในการที่จะเข้ามาช่วยพยุงตลาดหุ้นของรัฐบาลมังกร
ก่อนหน้าเมื่อวันที่ 30 พ.ค. 2007 ทางการจีนเพิ่งจะสั่งปรับอัตราภาษีอากรแสตมป์การซื้อขายหุ้นจาก 0.1%เป็น 0.3% เพื่อที่จะสกัดความร้อนแรงเกินไปของตลาดหลักทรัพย์ ซึ่งหลังจากนโยบายดังกล่าวได้ถูกประกาศ ได้ทำให้ดัชนีหุ้นของจีนร่วงหนักถึง 21% ภายในระยะเวลาเพียง 5 วัน แล้วค่อยพุ่งขึ้นใหม่จนมาแตะ 6,124.04 จุดในเดือนต.ค. ทว่าจากวันนั้นเป็นต้นมา หุ้นจีนได้ร่วงอย่างต่อเนื่องลงมาจนทะลุ 3,000 จุดเมื่อวันอังคาร (22 เม.ย.)
และพลันที่มาตรการนี้ถูกประกาศออกมา ในเช้าวันพุธ ดัชนีตลาดหุ้นจีนได้ปรับตัวสูงขึ้นทันที โดยในวันเดียวกันได้ปิดตลาดบวก 136.75 จุด และในวันต่อมา ดัชนีก็พุ่งขึ้นตั้งแต่เปิดตลาดถึง 9.6% ไปอยู่ที่ 3,593 จุด ก่อนที่จะปรับตัวลดลงเล็กน้อยมาอยู่ที่ 3,515 จุด หรือเพิ่มขึ้นมาจากที่ปิดตลาดวานนี้กว่า 200 จุดหรือราว 7.2% และปิดที่ 3,582.028 จุด ขึ้นมาถึง 304.698 จุด หรือ 9.29% เป็นการขึ้นในวันเดียวสูงสุดในรอบ 6 ปี
กุ้ย ฮ่าวหมิงเจ้าหน้าที่ตลาดอาวุโสของบริษัทหลักทรัพย์เซินอิ๋นวั่นกั๋วได้ระบุว่า “นี่เป็นหนึ่งในมาตรการชุดที่จะถูกส่งออกมาจากรัฐบาล เพื่อที่จะกระตุ้นตลาดทุน และสร้างกระแสความคึกคักของผู้ลงทุน ซึ่งถือว่าเป็นผลในด้านบวก เชื่อว่าจะสามารถช่วยให้ตลาดนั้นพุ่งขึ้นได้อย่างเด่นชัดในระยะหนึ่ง”
ในขณะที่เว็บไซต์ซีน่าเน็ต ได้ยกเอาบทวิเคราะห์ของนายกัว ซื่ออิงผู้จัดการใหญ่ฝ่ายวิจัยของบริษัทหลักทรัพย์ไท่ผิงหยางมาลง โดยระบุว่า “การลดราคาอากรแสตมป์เป็นสิ่งที่ตลาดได้คาดหวัง และรอมานานแล้ว การปรับลดในครั้งนี้ถือว่าเป็นช่วงจังหวะที่ดี และดีกว่าการใช้มาตรการเก็บภาษีทางเดียว ซึ่งได้สะท้อนให้เห็นว่าทางการจีนยังคงให้ความสำคัญกับเสถียรภาพในตลาดหลักทรัพย์ และมาตรการนี้น่าจะสามารถส่งผลดีได้ในระยะยาวอีกด้วย”
“ดัชนีตลาดเซี่ยงไฮ้ร่วงจาก 6,000 จุดมาเหลือ 3,000 จุด ด้วยสถานการณ์เช่นนี้ ต่อให้ไม่มีปัจจัยบวกอะไร โดยเทคนิคแล้วดัชนีตลาดก็ต้องดีดตัวกลับขึ้นมา ยิ่งทางการออกมาตรการที่เป็นปัจจัยด้านบวกหนุนเข้าไป ก็จะยิ่งทำให้ดัชนีพุ่งเร็วและแรงมากยิ่งขึ้น” เฉิน กว่างลั่ง นักวิเคราะห์จากบริษัทหลักทรัพย์ซิงเยี่ยระบุ
อย่างไรก็ตาม ก็ยังมีนักวิเคราะห์ที่มองว่า กระแสของตลาดหลักทรัพย์ไม่ใช่จะเปลี่ยนได้ด้วยการอาศัยแค่มาตรการลดอากรแสตมป์ โดยเฉพาะในขณะนี้เศรษฐกิจมหภาคยังไม่มีความแน่นอน บวกกับเศรษฐกิจสหรัฐฯที่ถดถอย ทำให้สถานการณ์ของตลาดกระดานเอยังคลุมเครืออยู่
นอกจากนั้น ผลประกอบการของบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ก็ไม่ได้เพิ่มขึ้นมากเหมือน 2 ปีที่ผ่านมา การประกาศนโยบายใหม่จะมีแรงกระตุ้นตลาดได้อย่างไม่ต้องสงสัย เห็นได้จากหุ้นที่พุ่งขึ้นทันทีหลังวันประกาศ ทว่าการที่จะยังดีขึ้นต่อไปในระยะยาวได้หรือไม่เป็นสิ่งที่ยังต้องจับตาต่อไป
ทั้งนี้ ในช่วงที่ผ่านมา ได้เริ่มมีกระแสเรียกร้องให้ทางการเข้าพยุงช่วยเหลือตลาดหลักทรัพย์มังกร ซึ่งนำโดยนายหลิว หมิงคังที่นับเป็นเจ้าหน้าที่ระดับสูงของจีนคนแรกที่ออกมาเรียกร้องให้แทรกแซงเพื่อช่วยเหลือตลาดหลักทรัพย์ ซึ่งถือว่าเป็นการจุดกระแสที่อยากให้รัฐเข้ามาช่วยเหลือ จนทำให้เจ้าหน้าที่รัฐที่ดูแลในหน่วยงานต่างๆที่เกี่ยวข้องทยอยกันออกมาช่วยส่งสัญญาณในด้านบวกกับตลาด
อย่างไรก็ตามการปรับลดภาษีอากรแสตมป์ในครั้งนี้ จะทำให้รัฐบาลจีนต้องเสียรายได้ก้อนโต เพราะจากการปรับเพิ่มในปีที่ผ่านมา ได้ทำให้ทางการเก็บภาษีอากรแสตมป์ในปี 2007 ได้ทั้งสิ้น 200,500 หยวน เพิ่มขึ้นจากปี 2006 ถึง 10 เท่าตัว แทบจะเท่ากับจำนวนยอดรวมภาษีอากรแสตมป์ที่จีนเก็บมาตลอดเวลา 16 ปี