xs
xsm
sm
md
lg

ธปท.กางตำราโต้ขุนคลัง ยันขึ้นดอกเบี้ย 0.254% แค่ส่งสัญญาณ

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

อัจนา ไวความดี
ธปท. แจงขึ้นดอกเบี้ย 0.254% เพื่อส่งสัญญาณให้ตลาดทราบทิศทางเงินเฟ้อในอนาคต ยังมีแนวโน้มสูงขึ้นต่อเนื่อง ขณะที่ดบ.แท้จริงติดลบ โดยเฉพาะด้านเงินฝาก ส่งผลให้คนแห่ถอนเงินใช้จ่ายเพิ่ม คาดแนวโน้ม GDP ครึ่งปีหลังชะลอตัว และต่อเนื่องปีหน้า ยันไม่เห็นสัญญาณวิกฤตเหมือนปี 2540

วันนี้ (24 ก.ค.) นางอัจนา ไวความดี รองผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวในงานสัมมนา มุมคิด... แก้วิกฤตเศรษฐกิจไทย (ปัญหาที่รุมเร้า) โดยระบุถึงปัญหาเงินเฟ้อที่ประเทศไทยประสบอยู่ปัจจุบันนี้ ส่วนหนึ่งก็มาจากต้นทุนสินค้าที่เพิ่มขึ้น แต่อีกส่วนหนึ่งมาจากความต้องการซื้อที่มากขึ้นเช่นกัน เพราะในภาวะที่เงินเฟ้อสูงขึ้นก็ได้มีการปรับค่าแรงสูงขึ้น จึงส่งผลให้ความต้องการซื้อเพิ่มขึ้นตามมา

นางอัจนา ระบุอีกว่า การขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.254% ของ ธปท.ที่ผ่านมาเพื่อเป็นการดูแลไม่ให้ภาคธุรกิจคาดการณ์ไปว่า เงินเฟ้อในอนาคตจะสูงขึ้นต่อเนื่อง โดยการขึ้นอัตราดอกเบี้ยดังกล่าวไม่ได้ส่งผลกระทบต่อธุรกิจ เนื่องจากหากดูจากอัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงแล้วยังถือว่าอยู่ในระดับต่ำ โดยเฉพาะอัตราดอกเบี้ยเงินฝากที่อยู่ในระดับต่ำมาก ซึ่งหากอัตราดอกเบี้ยอยู่ในระดับต่ำมากจะทำให้เกิดปัญหา ประชาชนถอนเงินฝากออกมาใช้จ่ายมากขึ้น ซึ่งก็จะส่งผลให้ความต้องการเพิ่มขึ้นตามมา

"ยืนยันว่าในภาวะที่เศรษฐกิจต้องการแรงกระตุ้น อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงก็ติดลบได้ แต่ก็ต้องไม่ให้เกิดปัญหาความต้องการซื้อสินค้าเพิ่มขึ้น เพราะจะเป็นตัวเร่งเงินเฟ้อ"

สำหรับแนวโน้มการดำเนินนโยบายอัตราดอกเบี้ยในช่วงที่เหลือของปีนี้ นางอัจนา ยังไม่สามารถตอบได้ว่า ธปท.จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีกเท่าใดจึงจะดูแลเงินเฟ้อได้ อย่างไรก็ตามต้องติดตามดูว่าจะมีผลกระทบในการผลักภาระราคาสินค้าไปยังผู้บริโภคและเกิดผลกระทบต่อเงินเฟ้อรอบสองหรือไม่ ซึ่งปัจจัยต่างๆก็ต้องติดตามดูอย่างต่อเนื่อง ไม่สามารถคาดการณ์ได้ล่วงหน้า

ทั้งนี้ ในส่วนของทิศทางเศรษฐกิจในครึ่งปีหลังมีความเป็นไปได้มากว่าเศรษฐกิจครึ่งปีหลังจะชะลอจากครึ่งปีแรก เนื่องจากราคาน้ำมันก็ยังมีความไม่แน่นอนและปัญหาซับไพรม์ ธปท.ยังไม่สามารถคาดการณ์ได้ว่าจะยืดเยื้อหรือไม่ ธปท.คงต้องมีนโยบายดูแลเงินเฟ้อและการขยายตัวทางเศรษฐกิจควบคู่กันไป แต่หากจะต้องเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง

ดังนั้น ธปท.คงต้องเลือกดูแลเสถียรภาพของเศรษฐกิจมากกว่าการขยายตัวทางเศรษฐกิจ เพราะหากเศรษฐกิจไม่มีเสถียรภาพก็จะเกิดปัญหาต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจในระยะยาวได้

สำหรับอัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจไทย (GDP) ในครึ่งหลังของปีนี้ ธปท.คาดว่าจะชะลอลงจากครึ่งปีแรก และต่อเนื่องไปถึงปีหน้า โดยปัจจัยหลักที่มีผลกดดันต่อการขยายตัวของเศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจไทยในระยะต่อจากนี้จนถึงปีหน้า ยังมาจากราคาน้ำมัน และผลกระทบจากปัญหาซับไพรม์ของสหรัฐฯ

ธปท.คาดว่า GDP ไตรมาส 2/51 ชะลอตัวจากไตรมาส 1/51 แต่ถือว่ายังอยู่ในเกณฑ์ดี และ ธปท.ยังไม่เห็นสัญญาณที่จะทำให้เศรษฐกิจไทยเกิดวิกฤติเหมือนอดีตเมื่อปี 40
กำลังโหลดความคิดเห็น