การเคหะแห่งชาติ(กคช.) เป็นหน่วยงานที่ก่อตั้งเพื่อเข้ามาแก้ไขปัญหาด้านที่อยู่อาศัยของประชาชน โดยเฉพาะปัญหาชุมชนแออัด ซึ่งหน่วยงานดังกล่าวในช่วงที่ผ่านมาต้องประสบกับภาวะขาดทุนสะสมจากการดำเนินงานในบางปี และได้หาแนวทางแก้ไขเรื่อยมากระทั่งในปี 2549 กคช. จึงสามารถพลิกฟื้นกลับมามีกำไร756.42 ล้านบาท
แต่หลังจากที่ รัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตรได้ริเริ่มโครงการ **บ้านเอื้ออาทร** เพื่อให้ประชาชนผู้มีรายได้น้อยได้มีที่อยู่อาศัยเป็นของตนเอง โดยมอบหน้าที่ให้ กคช. เป็นผู้ดำเนินงานก่อสร้างและบริหารการขายโครงการ ส่งผลให้ กคช. ต้องแบกรับหน้าที่พัฒนาโครงการที่เสี่ยงต่อการขาดทุนสูง ทั้งจากรายได้ของผู้ซื้อบ้านอีกทั้งยังมีปั่นดีมานด์สูงเกินความเป็นจริง และไม่มีการประมาณการกำลังซื้อของประชาชนกลุ่มเป้าหมายที่ชัดเจน ทำให้หลายโครงการไม่ประสบผลสำเร็จ ส่งผลให้ปัจจุบัน กคช. ต้องแบกรับหนี้สินที่เกิดจากการพัฒนาโครงการบ้านเอื้ออาทรกว่า 46,002 ล้านบาท
โครงการบ้านเอื้ออาทร เริ่มต้นในปี2546 โดย คณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติอนุมัติให้ดำเนินการก่อสร้างบ้านในโครงการจำนวน 600,000 หน่วย ระยะเวลา 5 ปี (2546-2551) โดยรัฐจะให้งบอุดหนุน 80,000 บาทต่อหน่วย และให้งบประมาณในการก่อสร้างศูนย์ชุมชน 5-10 ล้านบาท ต่อโครงการ แต่ต่อมาเมื่อมีการตรวจสอบการกระทำการทุจริตโครงการดังกล่าวส่งผลให้ ครม. ในรัฐบาล พลเอกสุรยุทธ์ จุลานนท์ อนุมัติให้ปรับลดจำนวนการพัฒนาให้คงเหลือ 300,504 หน่วย เมื่อ 18 ธันวาคม 2550
ปัจจุบัน ผลการดำเนินโครงการบ้านเอื้ออาทร ณ 31 พฤษภาคม 2551 พบว่า มีการอนุมัติอนุมัติรับซื้อไปแล้ว 452,246 หน่วย จากจำนวนการอนุมัติโครงการเดิม 600,000หน่วย แต่หลังจากมีการปรับลดจำนวนหน่วยในการก่อสร้างเหลือ 300,504 หน่วย ทำให้ กคช.ต้องแบกรับภาระที่ดินที่ซื้อมาเกินกว่าจำนวนที่ต้องพัฒนาตามแผนใหม่ ทำให้กคช. จำเป็นต้องตัดขายที่ดินบางส่วนเพื่อลดต้นทุนดอกเบี้ยจากการกู้ซื้อที่ดิน และบางส่วนมีแผนจะนำมาก่อสร้างโครงการเคหะชุมชนขายในเชิงธุรกิจ
นอกจากนี้ ยังพบว่า ปัจจุบันมีการก่อสร้างบ้านแล้วเสร็จ 137 โครงการจำนวน 137,367 หน่วย ส่วนที่เหลืออยู่ระหว่างก่อสร้างและ รอโอนกรรมสิทธิ์ที่ดิน 164 โครงการจำนวน 163,137 หน่วย ทำให้ กคช. ยังมีภาระที่ต้องแบกรับอยู่จำนวนมาก
จากการตรวจสอบผลการดำเนินงานของ กคช. ในรอบ 35 ปี 2516-2551นั้นพบว่า กคช. มีการจัดสร้างที่อยู่อาศัยทั้งในส่วนกลางและส่วนภูมิภาค รวมทั้งสิ้น 624,359 หน่วย แบ่งเป็นโครงการแก้ไขปัญหาชุมชนแออัด 289,046 หน่วย โครงการบ้านเอื้ออาทร 137,367 หน่วย
โครงการเคหะชุมชน 144,767 หน่วย โครงการเคหะฯข้าราชการ 49,766 หน่วย และโครงการอื่น ๆ 3,413 หน่วย ประกอบด้วยโครงการราชภัฏฯ 2,310 หน่วย โครงการช่วยเหลือผู้ประสบภัยภาคใต้ 845 หน่วย โครงการแก้ไขวิกฤตอสังหาริมทรัพย์ 258 หน่วย
ส่วนข้อมูลด้านการเงินนั้นใน ปี 2549 มีกำไร 756.42 ล้านบาท แต่หลังจากที่การก่อสร้างโครงการบ้านเอื้อฯมาถึงระยะที่ 3-4 ซึ่งต้องใช้เงินกู้จากสถาบันการเงินจำนวนมาก ทำให้กคช.มีภาระด้านดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นส่งผลให้ตั้งแต่ปี 2550 ผลการดำเนินเริ่มติดลบ โดยมียอดขาดทุนสะสม 1,305 ล้านบาท ส่วนในปี 2551 ณ เดือน พ.ค.ขาดทุนไปแล้ว 602 ล้านบาท ในขณะที่ด้านสินทรัพย์รวมของ กคช. นั้นในปี 2550 มีจำนวน 100,583 ล้านบาท ต่อมาในปี 2551 มีจำนวนเพิ่มขึ้นจากการรับซื้อที่ดินในโครงการบ้านเอื้ออาทรเป็น 112,625 ล้านบาท
แต่อย่างไรก็ตามแม้ว่า กคช. จะมีสินทรัพย์รวมเพิ่มขึ้น แต่จำนวนหนี้สินรวมที่เกิดจากากรกู้เงินซื้อที่ดินและการดำเนินการในโครงการบ้านเอื้อฯก็ทำให้มีจำนวนหนี้เพิ่มขึ้นเช่นกัน โดยในปี 2550 มีหนี้อยู่ 79,646 ล้านบาท และเพิ่มขึ้นเป็น 91,582 ล้านบาทปี 2551 ในขณะที่เงินทุนของปี2550 มีอยู่ 7,800 ล้านบาท และลดลงเหลือ 7,198 ล้านบาทในปี 2551 ทำให้ปัจจุบัน กคช.มีหนี้สินต่อทุนสูงถึง 12.72 เท่า เพิ่มขึ้นจากปี 2550ที่มีหนี้สินต่อทุนอยู่ที่ 10.21เท่า
ทั้งนี้ การดำเนินการโครงการบ้านเอื้ออาทรของ กคช. ยังคงส่งผลกระทบต่อปัญหาทางการเงินของกคช.อย่างต่อเนื่องโดยเฉพาะในส่วนของภาระหนี้ที่ กคช. ต้องกู้สถาบันการเงิน โดยมี กระทรวงการคลังเป็นผู้ค้ำประกัน เพื่อนำไปใช้หนี้เงินกู้ที่ครบกำหนดชำระในแต่ละปี ส่งผลให้ กคช. ต้องมีภาระดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้นในแต่ละปีอย่างต่อเนื่อง โดยณ วันที่ 30 มิ.ย. 2551 กคช. มีภาระหนี้สินจำนวน 85,965 ล้านบาท แบ่งเป็นเงินกู้ต่างประเทศ 89 ล้านบาท เงินกู้ในประเทศ 85,876 ล้านบาท แบ่งออกเป็นเงินกู้ในโครงการเคหะชุมชน 14,300 ล้านบาท โครงการราชภัฏฯ 654 ล้านบาท และเงินกู้ในโครงการบ้านเอื้ออาทร70,922 ล้านบาท
ทั้งนี้ ประมาณการการชำระหนี้ของ กคช. ณ สินปี 2551ว่า ในโครงการบ้านเอื้ออาทร ซึ่งมีเงินต้น 43,061 ล้านบาท ดอกเบี้ย 2,941 ล้านบาท คิดเป็นหนี้สินรวม 46,002 ล้านบาท มีการชำระไปแล้ว ณ เดือน มิ.ย. 2551จำนวน 25,843 ทำให้ กคช. ยังมียอดหนี้คงค้างที่ต้องชำระ ณ เดือน ก.ค.-ก.ย. 2551 จำนวน 20,158 ล้านบาท ส่วนในโครงการเคหะชุมชน ยังมีเงินกู้ค้างชำระอยู่ 3,349 ล้านบาท และมีดอกเบี้ย 858 ล้านบาท คิดเป็นหนี้สินรวม 4,208 ล้านบาท โดยมีการชำระไปแล้ว ณ เดือน มิ.ย. 2551 จำนวน 3,936 ล้านบาท ทำให้มียอดคงเหลือ ณ เดือน ก.ค.-ก.ย. 2551 จำนวน 272 ล้านบาท
จากจำนวนหนี้คงค้างดังกล่าวประมาณการว่า ในปี 2552 กคช. จะมีภาระการชำระหนี้เงินต้น และดอกเบี้ย แบ่งออกเป็น เงินต้นโครงการบ้านเอื้ออาทร 14,665 ล้านบาท ดอกเบี้ย 2,592 ล้านบาท ที่จะครบรอบชำระรวม 17,257 ล้านบาท ส่วนโครงการเคหะชุมชนมีเงินต้น 2,020 ล้านบาทดอกเบี้ย 697 ล้านบาท รวมหนี้ที่ต้องชำระ 2,717 ล้านบาท ดังนั้นเมื่อคำนวณแล้วหนี้สินรวมที่ต้องชำระในปี 2552 กคช.จะต้องชำระเงินต้น 16,685 ล้านบาท ดอกเบี้ยที่ต้องชำระรวม 3,289 ล้านบาท คิดเป็นหนี้สินรวมที่ต้องชำระในปี 2552 รวม 19,974 ล้านบาท
ทั้งนี้ ปัญหาหนี้สินต่างๆ จากการดำเนินงานโครงการบ้านเอื้ออาทรทำให้ กคช. ต้องปรับตัวสร้างรายได้ในเชิงธุรกิจเพื่อหาเงินมาชำระหนี้อย่างต่อเนื่อง โดย กคช. มีแผนจะตัดขายมที่ดินที่รับซื้อมาพัฒนาโครงการบ้านเอื้ออาทรแล้วแต่ไม่สามารถก่อสร้างต่อได้ในบางส่วน แต่ในบางส่วน กคช. มีแผนที่จะนำมาพัฒนาเป็นโครงการ“บ้านปฐมภูมิ” จำนวน 10,000 หน่วย
ทั้งนี้จะเริ่มโครงการนำร่อง 4 โครงการ ประกอบด้วย 1.วัดกู้ผังโครงการ วัดกู้ พื้นที่ 36.17 ไร่จำนวน 2,231 หน่วย, 2.ลำลูกกาคลอง 2 พื้นที่โครงการ 28.35 ไร่ จำนวน 1,612 หน่วย, 3.ล่มเกล้า ระยะที่ 1 พื้นที่ 51.9 ไร่จำนวน 2,623 หน่วย ระยะที่ 2 พื้นที่ 22.57 ไร่จำนวน 1,412 หน่วย และ 4. บางปู พื้นที่ 48.245 ไร่จำนวน 3,205 หน่วย เพื่อรองรับความต้องการของประชาชนที่เริ่มทำงานใหม่ และสร้างครอบครัวใหม่ ให้มีที่อยู่อาศัยใกล้สถานีรถไฟฟ้า โดยเน้นจับกลุ่ม ผู้จบการศึกษา และเริ่มทำงาน รายได้ 30,000- 40,000 บาทต่อเดือน และกลุ่มผู้เริ่มสร้างครอบครัวใหม่ รายได้ 40,000 ต่อครับเรือนขึ้นไป
โดยคาดว่าจะใช้งบประมาณที่ได้รับกาอุดหนุนจากรัฐฯในการดำเนินการโครงการดังกล่าว ทั้งนี้ในส่วนของเงินงบประมาณการลงทุนประจำปี 2551 นั้น กคช. ได้รับอนุมัติรวม 40,739 ล้านบาท แบ่งเป็นงบประมาณโครงการบ้านเอื้ออาทร 37,164 ล้านบาท งบประมาณอื่นๆ 3,575 ล้านบาท โดยมีการเบิกจ่ายไปแล้ว ณ 30 มิถุนายน 2551 จำนวน 22,176 ล้านบาทคิดเป็น54% คงเหลือ 46%ของงบประมาณทั้งหมดปี 2551 โดยงบประมาณรวมปี 2551 แบ่งเป็นเบิกจ่ายในโครงการบ้านเอื้ออาทร 20,518 ล้านบาท คิดเป็น 55% เบิกจ่ายในโครงการอื่นๆ 1,658 ล้านบาท คิดเป็น 45%
อย่างไรก็ตามต้องจับตากันต่อไปว่าโครงการบ้านปฐมภูมิจะเป็นโครงการที่ช่วยผลักดันให้ กคช. มีเงินเข้ามาช่วยลดภาระหนี้ที่มีอยู่ หรือเพิ่มภาระให้ กคช. เพราะปัจจุบันบ้านเอื้ออาทรที่สร้างเสร็จแล้ว 137,367 หน่วย ยังไม่สามารถขายออกไปได้เกือบ 70,000 หน่วย ซึ่งเมื่อพิจาณาแล้วจำนวนความต้องการในตลาดจริงๆ นั้นยังไม่มีความชัดเจนว่ามีจำนวนเท่าใดหรือจะแชร์อยู่ในกลุ่มเดี่ยวกับบ้านเอื้ออาทรหรือไม่
แต่หลังจากที่ รัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตรได้ริเริ่มโครงการ **บ้านเอื้ออาทร** เพื่อให้ประชาชนผู้มีรายได้น้อยได้มีที่อยู่อาศัยเป็นของตนเอง โดยมอบหน้าที่ให้ กคช. เป็นผู้ดำเนินงานก่อสร้างและบริหารการขายโครงการ ส่งผลให้ กคช. ต้องแบกรับหน้าที่พัฒนาโครงการที่เสี่ยงต่อการขาดทุนสูง ทั้งจากรายได้ของผู้ซื้อบ้านอีกทั้งยังมีปั่นดีมานด์สูงเกินความเป็นจริง และไม่มีการประมาณการกำลังซื้อของประชาชนกลุ่มเป้าหมายที่ชัดเจน ทำให้หลายโครงการไม่ประสบผลสำเร็จ ส่งผลให้ปัจจุบัน กคช. ต้องแบกรับหนี้สินที่เกิดจากการพัฒนาโครงการบ้านเอื้ออาทรกว่า 46,002 ล้านบาท
โครงการบ้านเอื้ออาทร เริ่มต้นในปี2546 โดย คณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติอนุมัติให้ดำเนินการก่อสร้างบ้านในโครงการจำนวน 600,000 หน่วย ระยะเวลา 5 ปี (2546-2551) โดยรัฐจะให้งบอุดหนุน 80,000 บาทต่อหน่วย และให้งบประมาณในการก่อสร้างศูนย์ชุมชน 5-10 ล้านบาท ต่อโครงการ แต่ต่อมาเมื่อมีการตรวจสอบการกระทำการทุจริตโครงการดังกล่าวส่งผลให้ ครม. ในรัฐบาล พลเอกสุรยุทธ์ จุลานนท์ อนุมัติให้ปรับลดจำนวนการพัฒนาให้คงเหลือ 300,504 หน่วย เมื่อ 18 ธันวาคม 2550
ปัจจุบัน ผลการดำเนินโครงการบ้านเอื้ออาทร ณ 31 พฤษภาคม 2551 พบว่า มีการอนุมัติอนุมัติรับซื้อไปแล้ว 452,246 หน่วย จากจำนวนการอนุมัติโครงการเดิม 600,000หน่วย แต่หลังจากมีการปรับลดจำนวนหน่วยในการก่อสร้างเหลือ 300,504 หน่วย ทำให้ กคช.ต้องแบกรับภาระที่ดินที่ซื้อมาเกินกว่าจำนวนที่ต้องพัฒนาตามแผนใหม่ ทำให้กคช. จำเป็นต้องตัดขายที่ดินบางส่วนเพื่อลดต้นทุนดอกเบี้ยจากการกู้ซื้อที่ดิน และบางส่วนมีแผนจะนำมาก่อสร้างโครงการเคหะชุมชนขายในเชิงธุรกิจ
นอกจากนี้ ยังพบว่า ปัจจุบันมีการก่อสร้างบ้านแล้วเสร็จ 137 โครงการจำนวน 137,367 หน่วย ส่วนที่เหลืออยู่ระหว่างก่อสร้างและ รอโอนกรรมสิทธิ์ที่ดิน 164 โครงการจำนวน 163,137 หน่วย ทำให้ กคช. ยังมีภาระที่ต้องแบกรับอยู่จำนวนมาก
จากการตรวจสอบผลการดำเนินงานของ กคช. ในรอบ 35 ปี 2516-2551นั้นพบว่า กคช. มีการจัดสร้างที่อยู่อาศัยทั้งในส่วนกลางและส่วนภูมิภาค รวมทั้งสิ้น 624,359 หน่วย แบ่งเป็นโครงการแก้ไขปัญหาชุมชนแออัด 289,046 หน่วย โครงการบ้านเอื้ออาทร 137,367 หน่วย
โครงการเคหะชุมชน 144,767 หน่วย โครงการเคหะฯข้าราชการ 49,766 หน่วย และโครงการอื่น ๆ 3,413 หน่วย ประกอบด้วยโครงการราชภัฏฯ 2,310 หน่วย โครงการช่วยเหลือผู้ประสบภัยภาคใต้ 845 หน่วย โครงการแก้ไขวิกฤตอสังหาริมทรัพย์ 258 หน่วย
ส่วนข้อมูลด้านการเงินนั้นใน ปี 2549 มีกำไร 756.42 ล้านบาท แต่หลังจากที่การก่อสร้างโครงการบ้านเอื้อฯมาถึงระยะที่ 3-4 ซึ่งต้องใช้เงินกู้จากสถาบันการเงินจำนวนมาก ทำให้กคช.มีภาระด้านดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นส่งผลให้ตั้งแต่ปี 2550 ผลการดำเนินเริ่มติดลบ โดยมียอดขาดทุนสะสม 1,305 ล้านบาท ส่วนในปี 2551 ณ เดือน พ.ค.ขาดทุนไปแล้ว 602 ล้านบาท ในขณะที่ด้านสินทรัพย์รวมของ กคช. นั้นในปี 2550 มีจำนวน 100,583 ล้านบาท ต่อมาในปี 2551 มีจำนวนเพิ่มขึ้นจากการรับซื้อที่ดินในโครงการบ้านเอื้ออาทรเป็น 112,625 ล้านบาท
แต่อย่างไรก็ตามแม้ว่า กคช. จะมีสินทรัพย์รวมเพิ่มขึ้น แต่จำนวนหนี้สินรวมที่เกิดจากากรกู้เงินซื้อที่ดินและการดำเนินการในโครงการบ้านเอื้อฯก็ทำให้มีจำนวนหนี้เพิ่มขึ้นเช่นกัน โดยในปี 2550 มีหนี้อยู่ 79,646 ล้านบาท และเพิ่มขึ้นเป็น 91,582 ล้านบาทปี 2551 ในขณะที่เงินทุนของปี2550 มีอยู่ 7,800 ล้านบาท และลดลงเหลือ 7,198 ล้านบาทในปี 2551 ทำให้ปัจจุบัน กคช.มีหนี้สินต่อทุนสูงถึง 12.72 เท่า เพิ่มขึ้นจากปี 2550ที่มีหนี้สินต่อทุนอยู่ที่ 10.21เท่า
ทั้งนี้ การดำเนินการโครงการบ้านเอื้ออาทรของ กคช. ยังคงส่งผลกระทบต่อปัญหาทางการเงินของกคช.อย่างต่อเนื่องโดยเฉพาะในส่วนของภาระหนี้ที่ กคช. ต้องกู้สถาบันการเงิน โดยมี กระทรวงการคลังเป็นผู้ค้ำประกัน เพื่อนำไปใช้หนี้เงินกู้ที่ครบกำหนดชำระในแต่ละปี ส่งผลให้ กคช. ต้องมีภาระดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้นในแต่ละปีอย่างต่อเนื่อง โดยณ วันที่ 30 มิ.ย. 2551 กคช. มีภาระหนี้สินจำนวน 85,965 ล้านบาท แบ่งเป็นเงินกู้ต่างประเทศ 89 ล้านบาท เงินกู้ในประเทศ 85,876 ล้านบาท แบ่งออกเป็นเงินกู้ในโครงการเคหะชุมชน 14,300 ล้านบาท โครงการราชภัฏฯ 654 ล้านบาท และเงินกู้ในโครงการบ้านเอื้ออาทร70,922 ล้านบาท
ทั้งนี้ ประมาณการการชำระหนี้ของ กคช. ณ สินปี 2551ว่า ในโครงการบ้านเอื้ออาทร ซึ่งมีเงินต้น 43,061 ล้านบาท ดอกเบี้ย 2,941 ล้านบาท คิดเป็นหนี้สินรวม 46,002 ล้านบาท มีการชำระไปแล้ว ณ เดือน มิ.ย. 2551จำนวน 25,843 ทำให้ กคช. ยังมียอดหนี้คงค้างที่ต้องชำระ ณ เดือน ก.ค.-ก.ย. 2551 จำนวน 20,158 ล้านบาท ส่วนในโครงการเคหะชุมชน ยังมีเงินกู้ค้างชำระอยู่ 3,349 ล้านบาท และมีดอกเบี้ย 858 ล้านบาท คิดเป็นหนี้สินรวม 4,208 ล้านบาท โดยมีการชำระไปแล้ว ณ เดือน มิ.ย. 2551 จำนวน 3,936 ล้านบาท ทำให้มียอดคงเหลือ ณ เดือน ก.ค.-ก.ย. 2551 จำนวน 272 ล้านบาท
จากจำนวนหนี้คงค้างดังกล่าวประมาณการว่า ในปี 2552 กคช. จะมีภาระการชำระหนี้เงินต้น และดอกเบี้ย แบ่งออกเป็น เงินต้นโครงการบ้านเอื้ออาทร 14,665 ล้านบาท ดอกเบี้ย 2,592 ล้านบาท ที่จะครบรอบชำระรวม 17,257 ล้านบาท ส่วนโครงการเคหะชุมชนมีเงินต้น 2,020 ล้านบาทดอกเบี้ย 697 ล้านบาท รวมหนี้ที่ต้องชำระ 2,717 ล้านบาท ดังนั้นเมื่อคำนวณแล้วหนี้สินรวมที่ต้องชำระในปี 2552 กคช.จะต้องชำระเงินต้น 16,685 ล้านบาท ดอกเบี้ยที่ต้องชำระรวม 3,289 ล้านบาท คิดเป็นหนี้สินรวมที่ต้องชำระในปี 2552 รวม 19,974 ล้านบาท
ทั้งนี้ ปัญหาหนี้สินต่างๆ จากการดำเนินงานโครงการบ้านเอื้ออาทรทำให้ กคช. ต้องปรับตัวสร้างรายได้ในเชิงธุรกิจเพื่อหาเงินมาชำระหนี้อย่างต่อเนื่อง โดย กคช. มีแผนจะตัดขายมที่ดินที่รับซื้อมาพัฒนาโครงการบ้านเอื้ออาทรแล้วแต่ไม่สามารถก่อสร้างต่อได้ในบางส่วน แต่ในบางส่วน กคช. มีแผนที่จะนำมาพัฒนาเป็นโครงการ“บ้านปฐมภูมิ” จำนวน 10,000 หน่วย
ทั้งนี้จะเริ่มโครงการนำร่อง 4 โครงการ ประกอบด้วย 1.วัดกู้ผังโครงการ วัดกู้ พื้นที่ 36.17 ไร่จำนวน 2,231 หน่วย, 2.ลำลูกกาคลอง 2 พื้นที่โครงการ 28.35 ไร่ จำนวน 1,612 หน่วย, 3.ล่มเกล้า ระยะที่ 1 พื้นที่ 51.9 ไร่จำนวน 2,623 หน่วย ระยะที่ 2 พื้นที่ 22.57 ไร่จำนวน 1,412 หน่วย และ 4. บางปู พื้นที่ 48.245 ไร่จำนวน 3,205 หน่วย เพื่อรองรับความต้องการของประชาชนที่เริ่มทำงานใหม่ และสร้างครอบครัวใหม่ ให้มีที่อยู่อาศัยใกล้สถานีรถไฟฟ้า โดยเน้นจับกลุ่ม ผู้จบการศึกษา และเริ่มทำงาน รายได้ 30,000- 40,000 บาทต่อเดือน และกลุ่มผู้เริ่มสร้างครอบครัวใหม่ รายได้ 40,000 ต่อครับเรือนขึ้นไป
โดยคาดว่าจะใช้งบประมาณที่ได้รับกาอุดหนุนจากรัฐฯในการดำเนินการโครงการดังกล่าว ทั้งนี้ในส่วนของเงินงบประมาณการลงทุนประจำปี 2551 นั้น กคช. ได้รับอนุมัติรวม 40,739 ล้านบาท แบ่งเป็นงบประมาณโครงการบ้านเอื้ออาทร 37,164 ล้านบาท งบประมาณอื่นๆ 3,575 ล้านบาท โดยมีการเบิกจ่ายไปแล้ว ณ 30 มิถุนายน 2551 จำนวน 22,176 ล้านบาทคิดเป็น54% คงเหลือ 46%ของงบประมาณทั้งหมดปี 2551 โดยงบประมาณรวมปี 2551 แบ่งเป็นเบิกจ่ายในโครงการบ้านเอื้ออาทร 20,518 ล้านบาท คิดเป็น 55% เบิกจ่ายในโครงการอื่นๆ 1,658 ล้านบาท คิดเป็น 45%
อย่างไรก็ตามต้องจับตากันต่อไปว่าโครงการบ้านปฐมภูมิจะเป็นโครงการที่ช่วยผลักดันให้ กคช. มีเงินเข้ามาช่วยลดภาระหนี้ที่มีอยู่ หรือเพิ่มภาระให้ กคช. เพราะปัจจุบันบ้านเอื้ออาทรที่สร้างเสร็จแล้ว 137,367 หน่วย ยังไม่สามารถขายออกไปได้เกือบ 70,000 หน่วย ซึ่งเมื่อพิจาณาแล้วจำนวนความต้องการในตลาดจริงๆ นั้นยังไม่มีความชัดเจนว่ามีจำนวนเท่าใดหรือจะแชร์อยู่ในกลุ่มเดี่ยวกับบ้านเอื้ออาทรหรือไม่